วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีกระชับคางย้อยเข้ารูปทรง

ใครที่กำลังหาวิธีแก้ปัญหาคางไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย
วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีกระชับคางย้อยเข้ารูปทรงมาฝากกัน...

การแก้ปัญหาคางที่ไม่ได้สัดส่วนหรือคางย้อย ให้กลับมาสวยงามได้
รูปทรง คาง เป็นจุดหนึ่งที่สำคัญของความงามบนใบหน้า ตามวิธีธรรมชาติ
โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมตกแต่ง ให้สิ้นเปลืองเงินทองหรือเสี่ยงอันตรายสามารถทำได้โดย

เริ่มต้นจากตอกไข่ คัดเอาแต่ไข่ขาวล้วนๆตีเบาๆนำมาทาใต้คางและแก้มส่วนล่างที่หย่อนยาน
เริ่มกระบวนการจากใต้ใบหูข้างหนึ่ง ไปอีกข้างหนึ่ง โดยใช้หัวแม่มือแตะใต้กกหู
แล้วค่อยๆ ยกขึ้น วนไปตามแก้มและคาง กดและยกเบาๆ อยู่ประมาณ 15 นาที
ถ้ากลัวเมื่อยก็เอาข้อศอกเท้าโต๊ะไว้ รอจนไข่ขาวแห้งสนิท
แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้เพียงอาทิตย์ละสองครั้งก็จะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว

ถ้าใครรู้ตัวว่า คางไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

แหล่งที่มา เดลินิวส์

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีฟื้นฟูผิวหน้าแบบเร่งด่วน

เคยไหมคะ ?… ที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเจอเข้ากับใบหน้าหมองคล้ำ ไม่ใส่ปิ๊งปั๊ง
ริ้วรอยยับย่นต่าง ๆ ก็ไม่รู้มาจากไหน ดูแล้วชวนให้หดหู่ใจเป็นที่สุด
Amanda Lacey ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหน้าบอกว่าอย่าตกใจไปค่ะ
มีวิธีที่ช่วยให้เช้าอันหม่นหมองของคุณสดใสขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาบอกต่อกันด้วย

อย่างแรก เธอแนะว่าให้ดื่มน้ำร้อนที่หยดน้ำมะนาวคั้นสดเหยือกใหญ่นำไปก่อน
จากนั้นควรมีการออกกำลังสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการเติมออกซิเจนให้กับผิวหน้า
เลือกเอาค่ะจะเป็นเดิน วิ่ง โยคะ หรือเต้นไปรอบ ๆ บ้านก็ได้ตามชอบ
ตามด้วยการสูดหายใจลึกๆ ช้าๆ อย่างน้อย 6 ครั้ง
คราวนี้เดินไปส่องกระจกใหม่อีกครั้งค่ะ คุณจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนทีเดียว

ต่อมาให้ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยเคลนเซอร์อย่างดี ล้างออกด้วยผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดๆ
แล้วตามด้วยผ้าชุบน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่งเพื่อกระชับผิว และรอยแดง
แต่ขณะที่เช็ดหน้าด้วยผ้านี้มีเคล็ดลับอีกนิดว่าคุณควรเอนศีรษะไปข้างหลัง
(อาจนั่งพิงพนักโซฟาก็ได้ค่ะ) แล้ววางผ้าโปะทิ้งไว้สัก 1–2 นาที
เสร็จแล้วให้ทาม้อยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วยปลายนิ้ว อย่าถูหน้าแรงๆเด็ดขาด
และระหว่างวันก็อย่าลืมดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อย 1 ลิตรด้วยนะคะ

แล้วหน้าใสปิ๊งก็จะกลับมาหาคุณอย่างรวดเร็วแน่ค่ะ…

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คอสวย...ไร้รอยเหี่ยวย่น

สาวๆ เป็นแบบตาโตกันรึเปล่า มัวแต่เป็นห่วงเฉพาะหน้า ผม ผิว ปาก เท่านั้น ดันลืมดูแลคอ
มิน่าล่ะส่องกระจกทีไร ตกใจทุกที เพราะมันช่างไม่เข้ากันซะเลย หน้าเด้ง
ส่วนคอเห็นรอยย่นเต็มไปหมด ถ้าคำตอบคือใช่...
งั้นเรามาดูแลคอกันเถอะ ง่ายๆ แค่ชโลมครีมให้ชุ่มชื่นทุกเช้า ค่ำ หมั่นออกกำลังกายด้วยการผงกศีรษะไปข้างหลัง
อ้าปากกว้างๆ แล้วหุบสนิท ทำซ้ำ 10 ครั้ง (ตอนที่อ้าปากดูคนรอบข้างด้วยนะจ๊ะ จะหาว่าไม่เตือน)
และอย่าลืมรับประทานผักผลไม้มากๆ ตามด้วยดื่มน้ำ วันละ 8-10 แก้ว เป็นอย่างน้อย
คุณที่มีปัญหารอยย่นที่คอต้องรีบนำไปทำตามแล้วนะจ๊ะ

ที่มา http://www.komchadluek.net/2007/12/17/i001_181456.php?news_id=181456

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับผมสวย 10 ประการ

คนส่วนมากมักมาพบแพทย์ผิวหนังด้วยเรื่องปัญหาผมร่วงหรือผมบางซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น
ผมร่วงเฉพาะที่(Alopecia areta)ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียดเป็นต้น
ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
และระหว่างนี้คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร?
ซึ่งเป็นคำถามที่แพทย์ผิวหนังจะโดนถามบ่อยมาก ผมจึงรวบรวมเคล็ดลับการดูแลผม
ซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นานๆ ครับ

อย่ายุ่งกับผมมากนัก
เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่างๆมากมาย
นอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก
และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้
แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว
ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไปจนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ครับ


เลือกหวี (comb) ที่ดี
สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือการหวีผม
เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร
เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไปก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้
และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon)เคลือบไว้ที่ฟันด้วย
ก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หนเพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี
เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับเพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานานๆผมจะร่วงมากกว่าครับ
เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5-10 ครั้งก็พอแล้ว


เลือกแปรง (brush) ที่ดี
ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร
และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน
ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่นิยมกันคือ
แปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อก็คือลองแปรงผมของคุณ
ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวดก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ


อย่าหวีผมตอนผมเปียก
เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อจะให้ผมดูดี
แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมากไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก
อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม
และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้วจึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่าครับ


ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน
คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้าน
หรือใช้ที่ครอบผม(hood)ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้
และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด "bubble hair"
ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ
(แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกันครับ


อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ
ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะบางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะ
หรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก
ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า
เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ร่วมกับแชมพูยาสระผม
และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทาน
เพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรกครับ


ลองใช้ conditioning shampoo ดู
ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้นมักมีผมที่เสียมากพอสมควร
การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้
แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกันโดยใช้ครีมนวดผม(conditioner)ตามหลังแชมพู


ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม
instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม
ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน(silicon)ประกอบด้วย
การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ


ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน
การใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง
โดยการหมักไว้ประมาณ 20-30นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil)
หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน
เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง


ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป
คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้งเพราะอยากเก็บผมไว้นานๆ
แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์
แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วยครับ

ที่มา : นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไดร์ผมให้สวยด้วยตนเอง

ใครที่อยากผมสวย โดยไม่ต้องเข้าร้านทำผม มีวิธีการไดร์ผมให้สวยด้วยตัวเองมาฝาก....

ควรใช้ไดร์เป่ากับผมชื้นๆ ไม่ใช่ผมเปียก
จะไดร์ผมเองให้ได้ดี ผมต้องชื้น ๆเพื่อให้ได้ความเรียบและถ้าใช้แปรงกลมช่วยเป่าไดร์
ขณะที่ผมแห้งบ้างแล้ว ก็จะทำให้ผมเสียน้อยลง เพราะผมเปียกจะอ่อนแอ
และไม่ทนทานกับการดึง การม้วนเท่ากับผมแห้ง

เริ่มที่โคมผมก่อนเสมอ
การไดร์ที่โคนผมก่อนจะช่วยให้ผมดูหนาเต็มและยังช่วยวางพื้นฐานรูปทรงที่ดีให้กับสไตล์
ผมทุกแบบที่ต้องการ เมื่อไดร์โคนผมเสร็จแล้วจะสามารถจัดทรงผมส่วนที่เหลือได้ง่ายขึ้น
ถ้าไดร์ส่วนอื่นก่อนแล้วกลับมาไดร์โคน ผมอาจดื้อไม่ยอมไปในทิศทางที่ต้องการ
จึงยากที่จะจัดทรงให้สวยได้

ไดร์ไม่ทั่ว ผมเสียทรง
ควรเป่าผมให้แห้งสนิททั้งศรีษะ โดยเริ่มจากผมด้านในทีละช่อจนแห้งจริง ๆ
แล้วจึงไดร์ช่อผมที่อยู่ชั้นนอกถัดมา
การไดร์ทีละชั้นแบบนี้จะช่วยให้เส้นผมเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ
และอยู่ทรงสวยได้นานกว่าปล่อยให้ผมบางส่วนเปียกชื้นแม้เพียงเล็กน้อย

สลับเป่าลมร้อนกับลมเย็น
เทคนิคหนึ่งที่คุ้มค่าในการลองคือ การใช้ลมร้อนสลับกับลมเย็นในการเป่าผม
เพราะว่าความร้อนจะช่วยทำให้ผมเป็นเกลียวหรือเรียบได้เร็ว
ส่วนลมเย็นจะช่วยให้เกลียวผมอยู่ตัวและเรียบนาน

เลือกไดร์ให้เหมาะ
เครื่องเป่าผมที่มีกำลังเกิน 1800 วัตต์จะดีกว่าวัตต์ต่ำเพราะทำให้ผมแห้งและจัดทรงได้เร็ว
ผมจึงไม่ต้องเจอกับความร้อนนาน ๆ อีกทั้งยังควรมีปรับลมได้หลายระดับ
และมีปุ่ม "Cool" ซึ่งทำให้ปรับเป็นลมเย็นได้ในทันทีและไดร์เป่าผมรุ่นใหม่ยังเพิ่มเครื่อง
พ่นไอออนประจุลบ เพื่อช่วยรักษาสุขภาพผม เพราะประจุลบที่ปล่อยลงไปเคลือบเส้นผม
ขณะเป่า จะช่วยเก็บความชุ่มชื้นเข้าสู่แกนผม ผมจึงเสียน้อยลง

ป้องกันผมจากความร้อน
ไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันเกล็ดผมจากความร้อนขณะไดร์ได้เต็มร้อย
แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อนก่อนไดร์ผมก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น

ถ้าอยากสวย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

8 วิธี ให้สาวๆมีเอวบอบบาง

1. รับประทานผักให้มาก ๆ
จากที่ใช้เวลาศึกษาถึง 10 ปี กับกลุ่มทดลองที่เป็นผู้หญิง 80,000 คน ทำให้ทราบว่า
ผู้หญิงกินเนื้อสัตว์เกินวันละ 7 มือ/อาทิตย์จะมีสิทธ์ลงพุงมากกว่า ผู้หญิงที่รับประทานผักบ่อยๆ
ถึงเท่าตัว เพราะฉะนั้น รับประทานผักให้มาก ๆ ให้ได้สัก 5 ครั้ง/วัน ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ
เพราะคุณอาจเลือกรับประทาน ผักเป็นอาหารว่าง ระหว่างวันบ้างก็ได้ และสำหรับคนที่เกลียด
ผักจริง ๆ อาจจะเริ่มรับประทานแต่น้อย ๆ ก่อนก็ไม่ว่ากัน ส่วนเนื้อสัตว์ คุณก็ไม่จำเป็นต้อง
อดหรอกนะคะ เพียงลดประมาณลงบ้าง และรับประทานเนื้อสัก 2 - 3 มื้อ/อาทิตย์ก็พอค่ะ


2. รับประทานแต่เช้าและรับประทานบ่อย ๆ
หลายคนเข้าใจว่ารับประทานอาหารแค่ 2 มื้อ/วัน แล้วจะผอมกว่าคนที่รับประทานวันละ
3 มื้อปกติ คุณคิดผิดแล้วละค่ะ และถ้ายิ่งคุณเลือกรับประทานมื้อค่ำ เป็นมื้อที่ 2 ด้วยแล้ว
จะทำให้ยิ่งอ้วนไปกันใหญ่เลยค่ะ เพราะจากการศึกษาพบว่าคนที่รับประทานอาหารแต่เช้า
จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีตลอดทั้งวัน และมีโอกาสได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์
มากกว่า เพราะถ้าคุณรับประทานอาหารเช้า ก่อนเวลาเที่ยงคุณจะไม่หิวแน่นอน
แต่ถ้าคุณอดช่วงเช้า ก่อนเที่ยงคุณจะเริ่มหิวและอาจจะหาของขบเคี้ยวต่างๆมารับประทานเล่น
ซึ่งไม่มีประโยชน์ และทำให้อ้วนมากกว่าอาหารหลักอีกนะคะ ถ้ากลัวหิวก็รับประทานอาหารเช้า
และแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ โดยเลือกอาหารที่มีกากใยสูง และให้พลังงานมาก ๆ
เช่นผัก ผลไม้ ถั่วต้ม แบบนี้จะช่วยคลายหิวและทำให้หุ่นสวยได้ค่ะ


3. เดินให้ได้ทุกวัน
เพราะถ้าคุณปฏิบัติตามกฏข้างต้นทุกประการ แต่คุณเอาแต่นอนนิ่งหรือนั่งเฉยๆ ทุกวันล่ะก็
ที่ทำมาทั้งหมดก็เป็นอันสูญเปล่าเพราะเขาค้นพบมาแล้วว่า ผู้หญิงที่เดินอยู่เป็นประจำ
หน้าท้องจะเล็กกว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่กับที่ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเดินให้ได้วันละ 30
นาที ไม่ยากค่ะ แรกเริ่มคุณอาจไม่ต้องเดินเยอะขนาดนั้น เพียงเดินให้บ่อยขึ้นกว่าปกติ
เช่น เปลี่ยนมาใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือลองเดินไปรับประทานอาหารกลางวันไกลๆ ดูบ้าง


4. บริหารหน้าท้องและเพิ่มกล้ามเนื้อ
ก่อนนองลองซิตอัพสัก 15 ครั้ง และถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายบ้าง โดยจะเข้าฟิตเนสส์
เล่นแบดมินตัน หรือว่ายน้ำก็ได้ เพราะการออกกำลังกายทุกชนิด จะช่วยสลายให้ไขมัน
แปรสภาพเป็นกล้ามเนื้อ และยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นเท่าไรระบบเผาผลาญอาหารก็จะ
ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น นี่เองประโยชน์ของการออกกำลังกาย โดยคุณอาจจะหาท่าบริหารง่ายๆ
ทำเองเมื่อกลับถึงบ้านจะยิ่งทำให้คุณหลับง่ายขึ้น ที่สำคัญเขาบอกว่า
ถ้าคุณบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน เช่น แขนไหล่ แล้วเอวคุณจะดูเล็กลงไปด้วยค่ะ


5. รับประทานวิตามิน E
การศึกษาี้พบว่า นอกจากวิตามิน E จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไข้หวัด และมะเร็งได้แล้ว
วิตามิน E ยังช่วยป้องกันหน้าท้องขยายได้ด้วย เพราะวิตามิน E นั้นมีสารต่อต้านอิซูลิน
อันจะทำให้เราอ้วนได้ค่ะ เพราะฉะนั้นลองรับประทานวิตามิน E สักวันละ 2
เม็ดเพื่อควบคุมน้ำหนักดูนะคะ (ข้อนี้ปรึกษาแพทย์ก่อนนะค่ะ)


6. เปลี่ยนนิสัยบอกใจตัวเองไม่ให้เครียด
เครียดเมื่อไรฟังเพลงคลาสสิก คุยกับเพื่อน หรือจะอ่านหนังสือดีๆ เพราะถ้าคุณเอาแต่
นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเก็บกดเวลาเครียดแล้ว ความเครียดตัวร้ายนี้จะไปเร่งฮอร์โมนคอร์ติซอล
(Cortisol) ให้ทำงานมากขึ้น และเมื่อเรามีฮอร์โมนตัวนี้มากขึ้นเมื่อไร
เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ก็จะส่งไขมันของเราไปกองที่หน้าท้องจนหมด อันจะทำให้เราพุงยื่น
เพราะฉะนั้น ถ้าเครียดจงหลับตาสูดหายใจลึก ๆ ทำใจให้สบายจะดีกว่านะคะ


7. คบเพื่อนให้มาก ๆ
อย่าเพิ่งงงนะคะ เพื่อนธรรมดานี่แหละค่ะ คนที่คุณสามารถพูดคุยหรือปรึกษาได้
เพราะการมีเพื่อนไม่ว่าเพื่อนวัยเรียนหรือเพื่อนร่วมงาน จะทำให้บรรยากาศรอบตัวของคุณ
เครียดน้อยลง ลองคิดดูว่าถ้ามาทำงานอย่างเดียว วันๆเจอแต่งานหนักแถมพบแต่เจ้านาย
ทั้งวันละก็ คุณคงเครียดหนักแน่ๆ แล้วทีนี้คุณก็อาจจะใช้วิธีกินเพื่อเป็นการผ่อนคลายก็ได้
เพราะฉะนั้นมีเพื่อนไว้คุยเวลาเครียดหรือเหงาบ้างก็ดีค่ะ โดยเฉพาะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ใน
การลดน้ำหนักเหมือนกัน จะยิ่งทำให้คุณลดน้ำหนักได้ดีขึ้นและสนุกขึ้น
คุณอาจจะแข่งกันออกกำลังกาย ถ้าใครลดน้ำหนักได้มากที่สุดจะได้รางวัล
แบบนี้การลดน้ำหนักจะยิ่งดูมีสีสันและสนุกขึ้นค่ะ


8. ลดละเลิกแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด
ที่เวลาเศร้าใจหรือดีใจทีไรมักฉลองด้วยของมึนเมาโดยเฉพาะเบียร์ เพราะเบียร์จะทำให้
หน้าท้องคุณ ยื่นได้อย่างน่าเกลียดแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ให้ดื่มแต่น้อย
หรือจะเปลี่ยนมาดื่มไวน์แทนก็ไม่เลวเลยค่ะ เพราะไวน์จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดี
แต่ถ้าจะฉลองกันในราคาประหยัดและมีประโยชน์แล้วละก็
ฉลองกันด้วยผักสด ๆ น้ำผลไม้เย็น ๆน่าจะดีกว่านะคะ

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ดูแลหุ่นอย่างไรให้ฟิตและเฟิร์ม

ปัญหากวนใจของสาวๆ หลายคนก็คือเรื่องรูปร่าง บางคนพยายามควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย
กันสารพัดวิธี แต่เจ้าพุงยื่นๆ ต้นแขนใหญ่ๆ ก็มักจะโผล่มาเป็นอุปสรรคความงามกันอยู่เรื่อย

ไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์ที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะ รอบเอว
ต้นแขน ต้นขานั้นจัดว่าเป็นส่วนเกินที่กำจัดยากที่สุด
บางคนถ้ามองรูปร่างโดยรวมก็ไม่ได้อ้วนอะไร แต่ก็ต้องมานั่งกลุ้มใจกับส่วนเกินพวกนี้

เคล็ดลับสำหรับการดูแลหุ่นให้ฟิตและเฟิร์มอยู่ตลอดนั้น จึงต้องอาศัยวินัย และกำลังใจที่ดี
หลักการง่ายๆ ก็คือ หากคุณรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเกินกว่าที่คุณต้องการ
พลังงานส่วนเกินเหล่านั้นก็จะไปสะสมตัวอยู่ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ
ดังนั้น หากคุณต้องการรักษารูปร่างให้สมส่วน คุณก็ต้องควบคุมการรับประทานอาหาร
และการออกกำลังกายให้สมดุล ห้ามตามใจปาก ห้ามขี้เกียจ หรือผัดวันประกันพรุ่งเป็นอันขาด
จำไว้ว่า การโหมลดน้ำหนักเป็นครั้งคราวนั้นไม่ช่วยให้คุณมีรูปร่างดีได้นาน สุดท้ายหากนิสัยเดิมๆ
กลับมา ก็คงไม่แคล้วกลับมาอ้วนอีก หรือบางคนอาจจะต้องเผชิญกับภาวะ Yo-Yo Effect
ที่ทำให้คุณอ้วนกว่าเดิมอีก

กฎทองของการรักษาหุ่นก็คือ ต้องดูแลการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้สมดุลกับ
ความต้องการของร่างกายคุณ จำไว้ว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนอาจจะต่างกันไป
และเมื่อเวลาหรือวิถีชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเผาผลาญพลังงานก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย
หากคุณรู้ตัวว่าเป็นพวกสาวออฟฟิศ วัน ๆ ทำงานนั่งโต๊ะ ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานสักเท่าไร
ก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง แต่ให้พลังงานต่ำ
ที่สำคัญ ควรหาเวลาไปออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

หากอยากฟิตหุ่นเฉพาะส่วน อาจบริหารร่างกายเฉพาะส่วนเป็นพิเศษ
เพื่อความฟิตและเฟิร์ม หากทำเช่นนี้ได้เป็นกิจวัตร หุ่นฟิตและเฟิร์มก็ไม่ไกลเกินเอื้อม


เคล็ดลับสกัดความอ้วน

เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้พอดีกับความต้องการใช้พลังงานของร่างกาย

ไม่ควรอดอาหาร แม้จะต้องการลดความอ้วน
เพราะจะทำให้หิวจัด จนรับประทานอาหารเกินความจำเป็นในมื้อต่อไป

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียด อย่าทำกิจกรรมอื่นในระหว่างรับประทานอาหาร
เพราะจะทำให้คุณไม่รู้ตัวว่ารับประทานอะไรไปบ้าง ทำให้ได้รับอาหารเกินที่ต้องการ

เน้นอาหารประเภทที่มีไขมันต่ำ กากใยสูง โดยเฉพาะพวกเนื้อปลา ผัก ผลไม้

เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวิธีต้ม หรือลวก แทนการทอด หรือผัด
เพราะน้ำมันจากการปรุงอาหารอาจเป็นตัวการที่ทำให้คุณอ้วน

อาหารที่มีพริกไทย เครื่องเทศเป็นส่วนผสม ช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและเผาผลาญไขมันได้

หลีกเลี่ยงอาหารกรุบกรอบ ขนมหวาน หากหิวระหว่างมื้อ
ให้รับประทานผลไม้ที่ไม่หวานมาก แต่มีเส้นใยสูง เช่น แอ๊ปเปิ้ล แก้วมังกร สับปะรด

ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่น้อยกว่า 8 – 10 แก้วต่อวัน ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารทุกมื้อ

ควรระวังน้ำตาลที่แฝงมาในอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลที่อยู่ในกาแฟเย็น
หรือน้ำอัดลมยี่ห้อโปรด น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้กล่อง อาจเป็นตัวการที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว

ช่วงก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงบางคนอาจมีอาการอยากอาหารผิดปกติ ดูตัวบวมๆหรือดูพุงยื่นๆ
ซึ่งเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน ควรระวังการรับประทานอาหารให้ดี
หรือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นใหม่ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโดสต่ำ
ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนในร่างกาย
ซึ่งช่วยลดปัญหาอาการไม่พึงประสงค์ก่อนมีประจำเดือนได้

หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ครั้ง ครั้งละ 30-45 นาที ต่อเนื่องกัน
เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับรูปร่างดีของแคทลียา อิงลิช


ฟิตเฟิร์มแบบแคท
เมื่อเอ่ยชื่อแคท หลายคนคงคุ้นชินกับภาพหญิงสาวใบหน้าสวยคม ผู้มีรูปร่างสูงโปร่งสมส่วนอย่างคนมีสุขภาพดี
แต่กว่าที่เธอจะดูสวยฟิตเฟิร์มได้ขนาดนี้ เธอต้องเคร่งครัดกับตัวเองมากทีเดียวค่ะ

กินให้ถูกวิธี :
“แคทเป็นคนที่ถ้าทำงานเหนื่อยแล้วจะกินไม่หยุด ถ้าไม่ควบคุม น้ำหนักจะขึ้นง่ายมาก
โชคดีที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ และอาหารการกินอยู่แล้ว จึงรู้วิธีกินที่ถูกและดีต่อสุขภาพ
เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ ไม่กินแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นข้าว ขนมปัง แคทเน้นกินผักผลไม้เยอะๆ ค่ะ”

ควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ :
“ช่วงที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น แคทก็เคยลดความอ้วนเหมือนกัน แต่วิธีของแคทคือการกินอาหารที่ทำให้สุขภาพดี
ไม่ใช่ไม่กินอะไรเลย เพราะร่างกายยังต้องการสารอาหารต่างๆ เพื่อมาบำรุงร่างกายอยู่
ถ้าไม่กินอะไรเลยร่างกายจะเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะโรคหวัด หรือภูมิแพ้ ที่สำคัญสุขภาพจะย่ำแย่ในระยะยาว
และที่สำคัญแคทไม่เคยแตะยาลดความอ้วนเลย เพราะมันไม่ต่างจากสารเคมีที่เรากินเข้าไปสะสมในร่างกาย
ทำให้เกิดสารพิษ แต่แคทจะกินอาหารให้พอเหมาะมากกว่า กินผักผลไม้เยอะๆ เลี่ยงของทอด ของมันทุกชนิด
และกินมื้อเย็นเบาๆ เช่น สลัด กล้วย และโยเกิร์ตค่ะ”

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ :
“เมื่อก่อนแคทออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน ด้วยการเต้นแอโรบิคทุกวันๆ ละ 1 ชั่วโมง
แต่หลังจากได้เป็นนักร้องทำให้ได้เต้นเยอะมาก เหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว
แต่ปกติแคทจะหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมออยู่แล้ว อย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ครั้ง
ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถที่จะออกกำลังกายได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องเลือกว่าเราต้องเข้าฟิตเนสเท่านั้น
อย่างแคทก็จะพยายามทำอะไรก็ได้เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว
อย่างเวลาไปทำงานถ้าออฟฟิศอยู่แค่ชั้น 2-3 แคทจะเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์”


ใจเบิกบาน งานสำเร็จ
นอกจากจะมีรูปร่างสมส่วนและสุขภาพดีจนใครๆ ต้องอิจฉาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ
แคทเป็นคนที่สนุกสนานร่าเริงอยู่ตลอดเวลา บุคลิกนี้เธอบอกว่าเกิดจากการหมั่นบริหารใจอยู่เป็นประจำนั่นเองค่ะ

มองโลกในแง่ดี :
“แคทเป็นคนเฮฮาและมองโลกในแง่ดีมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ
เพราะบรรยากาศในการทำงานส่วนใหญ่จะเครียดอยู่แล้ว แคทเลยหาวิธีทำให้ทั้งตัวเองและคนอื่นสนุกดีกว่า
ถือเป็นวิธีในการดูแลสุขภาพจิตใจของเราไปในตัวด้วย เพราะแคทเคยอ่านเจอในหนังสือมาว่า
การหัวเราะทุกวันทำให้สุขภาพจิตของเราดี”

พักผ่อนคลายเครียด :
“ทำงานเสร็จแคทจะรีบกลับบ้าน และไม่เอาความเครียดจากงานกลับมาด้วย
เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวก็อยากให้เวลากับตัวเองเต็มที่ จะทำในสิ่งที่ชอบและผ่อนคลาย
เช่น นั่งเล่น นอนเล่น ดูทีวี ปักกางเกงยีน อ่านหนังสือ และทุกอย่างที่อยากทำและสบายใจค่ะ”

อุปสรรคคือบททดสอบ :
“แคทว่าทุกคนล้วนเจออุปสรรคในชีวิตแทบทั้งนั้น สำหรับแคทจะถือว่าอุปสรรคคือบททดสอบที่เราต้องพยายาม
ผ่านไปให้ได้ และถือว่ามันเป็นประสบการณ์ในชีวิต ทำให้ได้รู้วิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
และเมื่อเราผ่านอุปสรรคนั้นได้เราก็จะมีความรู้สึกโล่ง และมีความรู้สึกที่ดีค่ะ”

หากเคร่งครัดกับตัวเองจนเป็นกิจวัตร เรื่องที่จะเปลี่ยนตัวเองให้สดใส
และฟิตเฟิร์มสุขภาพดีแบบแคทลียา อิงลิช คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ที่มา : cheewajit.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

"เคล็ดลับ" กินง่ายๆ แต่ก็ยังผอม

สาวๆ ไม่ค่อยจะมีเวลามานั่งเลือกอาหารเพื่อสุขภาพกันเท่าไร บางทีงานก็เยอะ
รีบๆ เข้าเราก็ต้องคว้าอะไรใกล้มือนี่ล่ะมาประทังชีวิตกันไปก่อน
แต่ไม่ต้องกลัว ถึงจะกินแบบง่ายๆ ก็ยังคุมแคลอรีได้ด้วย


มื้อเช้า
มื้อเช้าของสาวไทยเรามีสองแบบ ถ้าไม่กินข้าวแกงก็ไม่กินเลย แต่ที่จริงเราสามารถทำอาหาร
เช้าที่เร็วและดีกินเองได้ที่บ้าน เช่น น้ำส้มสักแก้ว กับขนมปังโฮลวีต 2-3 แผ่น
นอกจากจะหนักท้องแล้ว คุณค่าอาหารที่ได้เทียบเท่ากับข้าวทั้งจานเลยทีเดียว


มื้อสาย
ช่วงสายเป็นมื้อที่ไม่ควรจะกินอะไรหนักๆ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมง เราก็ต้องกินมื้อเที่ยงอีกแล้ว
ของจุบจิบรองท้องที่คนไทยเราฮิตติดปากกันนักหนามักจะเป็นพวกลูกชิ้นปิ้ง ผลไม้ดอง
ซึ่งแคลอรีสูงลิ่ว วิธีเลี่ยงง่ายๆ คือให้คุณหาซีเรียลบาร์ติดโต๊ะไว้กินรองท้องเวลาหิว


มื้อเที่ยง
มื้อนี้ล่ะตัวร้ายสำหรับสาวทำงาน เพราะเวลาพักมีน้อย หลายคนจึงหาทางออกด้วยการฝาก
กระเพาะไว้กับฟาสท์ฟู้ดจำพวกแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งเป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับลำไส้ของสาวๆ
ที่กำลังไดเอท แต่โชคดีที่เราไม่จำเป็นต้องกินแต่แฮมเบอร์เกอร์ เพราะในร้านแฮมเบอร์เกอร์
ก็ยังมีเมนูอื่น เช่น สลัดหรือแซนวิชปลา แซนด์วิชจากขนมปังโฮลวีต


ระหว่างวัน
เวลาง่วงๆ ซึมๆ เครื่องดื่มแก้ง่วงที่เรามักจะนึกถึงก็คือกาแฟ ยิ่งถ้าเป็นลาเต้แก้วโตๆ ใส่เพียบ
แถมวิปครีมปะหน้าคู่กับคุ้กกี้อีก 2-3 ชิ้น สาวๆยิ่งกินจนลืมสะกดคำว่าอ้วนไปเลย..เลิกค่ะ
เพราะสามารถอร่อยคล้ายๆ อย่างนั้นได้ในแคลอรี่ที่ต่ำกว่าด้วยชาร้อนกับคุ้กกี้ธัญพืช
ช่วยแก้ง่วงได้พอๆ กันแต่แคลอรี่ต่างกันฟ้ากับเหว


มื้อดึก
นี่คือมื้อที่อันตรายกับความสเลนเดอร์มากที่สุด เพราะมีเวลาให้ชิมนั่นชิมนี่ได้เหลือเฟือ
แต่กินเข้าไปไม่เท่าไรก็ได้เวลานอนซะแล้ว ถ้าคุณเกิดหิวขึ้นมากลางดึก
ขอแนะนำเป็นนมแบบไขมันต่ำอุ่นๆ สักแก้ว จะช่วยให้หลับสบายขึ้น
แถมยังมีไขมันแค่ 3 กรัมเท่านั้น ดีกว่าต้มมาม่าใส่ใข่กันเป็นกองเลย

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

10 เคล็ดลับกำจัดพุง

1. ร่างกายไม่สามารถเลือกกำจัดเฉพาะไขมันที่พอกอยู่ที่พุงได้หรอกครับ
คุณต้องกระตุ้นการเผาผลาญไขมันทั้งตัว ทำได้ง่าย ๆ โดยเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน
เช่น เดินขึ้นลงบันไดแทนขึ้นลิฟต์ หรอจอดรถไกลๆ แล้วเดินเร็วๆ
เพื่อให้ทันเข้าประชุม หรือซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่สัก 2 ขวดหิวไว้ให้แขนทั้งสองข้างก่อน
เริ่มเดินช็อปปิ้งกับหวานใจ และหากเธอทำงานอยู่ใกล้ ๆ ลองงดการโทรศัพท์
แล้วใช้วิธีเดินไปหาแทน จะได้เผาผลาญไขมันที่สะสมให้เป็นเพลิงรักของคุณเสีย

2.งานวิจัยยืนยันมาว่าไขมันจะสลายตัวได้ง่ายหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็น
ดังนั้นช่วงลดหน้าท้อง อาจต้องงดอบซาวนา หรือสตรีมสักเดือน
หันมาอาบน้ำเย็นหลังการออกกำลังกายแถมยังได้ช่วยชาติประหยัดพลังงานอีกต่างหาก

3. เหล้าและเครื่องดื่มบำรุงกำลัง
มีผลทำให้พุงคุณป่องออกมาได้ลงมือจัดการเกี่ยวกับตัวปัญหาตั้งแต่วันนี้กันเลยครับ

4. เข้านอนเร็ว ดับไฟ งดดูทีวีก่อนนอน ฝึกทำสมาธิเพื่อการหลับสมบรูณ์ที่สุด
เพื่อโกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาช่วงหลับ เป็นกุญแจสำคัญที่เร่งการเผาผลาญไขมันได้อย่างราบคาบ

5. ทานมื้อเย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะมีผลต่อการหลั่งโกรทฮอร์โมน
เพราะฉะนั้น วางแผนกินมื้อเย็นให้เร็วขึ้น งดปาร์ตี้และบุฟเฟต์รอบดึก
เผลอๆสิ้นเดือนอาจเหลือค่าขนมมาซื้อกางเกงตัวใหม่ ต้อนรับเอวที่กระชับของคุณได้

6. ควบคุมการทำงานในช่องปากของคุณในแต่ละมื้อ การรับประทานอาหารช้า ๆ
จะช่วยควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ และควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายครบถ้วนทุกมื้อถ้าเป็นไปได้

7. อย่ามัวแต่บริหารหน้าท้องอย่างเดียว คุณต้องกระตุ้นการเผาผลาญไขมันทั้งตัวด้วย
การเน้นกล้ามเนื้อท้องอาจทำให้หน้าท้องคุณกลายเป็นซิกแพ็ก
แต่ถ้าไขมันไม่หายไปซิกแพ็กก็อาจเหลือแค่แพ็กเดียว ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า
การเล่นกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกเป็นการกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด

8. ไม่ต้องถึงกับฟิตหน้าท้องทุกวันหรอกครับ ลองจัดโปรแกรมฟิตกล้ามเนื้อหน้าท้อง 2-3 เซ็ต ไว้สักสองวันต่อสัปดาห์
สลับ กับการเล่นส่วนอื่น ๆ ด้วย การเล่นที่เหมาะสมอาจทำให้กล้ามเนื้อมีเวลาฟอร์มตัวได้ดีกว่า และทำให้กล้ามท้องเกิดได้เร็วกว่าด้วยครับ

9. จุดอ่อนที่ทำให้พุงเกิดอยู่เสมอคือ คุณมีท่ายืนหลังค่อม ทำให้พุงดูเป็นกองไขมันน่าเกลียดน่ากลัว แม้จะไม่อ้วนก็ตามที การยืนหลังตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง จะกระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าท้องให้ตึงตัวตลอดเวลา ฝึกยืน เดิน และออกกำลังกายในท่าตรงหลังเสมอ จะทำให้คุณสมาร์ตทั้งตัวครับ ไม่ใช่แค่พุง

10. ท่าบริหารหน้าท้องที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ ท่านอนยกขาหนีบ เท้าลอย ยกศีรษะ เรียกว่า Abs Crunch with Leg Lift ถ้าให้ทันสมัยและเวิร์กยิ่งขึ้น ก้ต้องทำบนลูกบอลออกกำลังกาย

ที่มา นิตยสาร Men'sHealth

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

เทคนิคควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

สาวๆ หลายคนหรืออาจจะรวมไปถึงหนุ่มๆ บางคนเป็นกังวลและพยายามอย่างหนักหน่วงกับการควบคุมอาหาร
เพื่อลดน้ำหนักอยู่ล่ะสิ วันนี้เรามีความรู้และเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน

พยายามกินมื้อเช้าทุกวัน จำไว้ว่า การกินอาหารเช้าสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้อ้วนง่าย
ลดน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่ไม่กินอาหารเช้า และสำหรับคนที่ลดแล้วก็จะคงน้ำหนักตัวได้ง่ายกว่าด้วย
ที่สำคัญอาหารเช้าก็ไม่ควรเป็นอาหารที่อุดมด้วยไขมัน แต่ควรเลือกจากอาหารหลัก 5 หมู่
เช่น ข้าวต้มเครื่อง โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ตามด้วยนม ผลไม้สด หรือน้ำผลไม้แท้ หรืออาหารง่ายๆ

กินอาหารให้เป็นเวลาและออกกำลังกายสม่ำเสมอ อันนี้คงไม่ต้องบอกนะว่าทำไม มันจะช่วยยังไง

คุมสัดส่วนอาหาร มื้อไหนกินเยอะก็ลดมื้อถัดไป หรือใช้แรงให้มากขึ้น ออกกำลังกายให้มากขึ้น
หรือวันต่อไป กินน้อยลง แคลอรีที่ได้โดยเฉลี่ยต่อสัปดาห์จะได้ไม่มากเกินไป

หลักการง่ายๆ ที่นักกำหนดอาหารอาหารแนะนำไว้ ก็คือ ให้กินข้าวหรือเส้นหรือแป้ง 1/4
เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ 1/4 กินผัก1/2 ของจาน แซมด้วยผลไม้และผลิตภัณฑ์นมตบท้าย
หรือจะใช้เป็นอาหารระหว่างมื้อก็ได้ ระบบย่อยจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป

หัดใส่ใจอ่านข้อมูลโภชนาการที่มาพร้อมกับฉลากอาหารบ้าง
อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่จะบอกจำนวนแคลอรี และปริมาณสารอาหารต่างๆ ให้ทราบอยู่แล้ว

ตามหลักเกณฑ์ในการลดน้ำหนักมีอยู่ว่า ถ้าลดเร็วก็เพิ่มเร็ว เพราะเวลาลดได้ก็จะขาดวินัยในการกิน
โดยทฤษฏีบอกว่า ถ้าลดพลังงานได้วันละ 500 กิโลแคลอรีจากที่รับประทานปกติ
จะช่วยลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 1/2 กิโลกรัม แต่ถ้าไม่อยากจะรีบก็อาจลดแคลอรีวันละ 100 กิโลแคลอรี
ก็จะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้แบบสบายๆ แต่อาจต้องใช้นานกว่า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
แต่ถ้าทำได้ทั้งปีล่ะก็ จะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ประมาณ 4.5 กิโลกรัม ซึ่งดีต่อสุขภาพของเราในระยะยาว

สาเหตุของการควบคุมน้ำหนักไม่ได้นั้น เป็นเพราะขาดความเสมอต้นเสมอปลาย ขาดวินัย
เพลิดเพลินกับการกินชนิดกู่ไม่กลับ แต่ที่จริงการคุมน้ำหนักนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด

หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักก็คือ มีความมุ่งมั่นจริงจัง
ไม่อย่างนั้นแล้วต่อให้โปรแกรมลดน้ำหนักนั้นๆ ดีขนาดไหนก็ช่วยคุณไม่ได้

แหล่งข้อมูล: Health & Cuisine

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

แนะสตรีอยากลดน้ำหนัก ต้องออกกำลังกาย 55 นาที

ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐศึกษาพบว่า สตรีที่ต้องการลดน้ำหนักจะต้องออกกำลังกายวันละ 55 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
จึงจะได้ผลและสามารถรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้กลับขึ้นมาอีก

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์กเผยในวารสารอินเทอร์นัลเมดิซีนว่า ทดลองให้อาสาสมัครสตรีน้ำหนักตัวเกิน
และสตรีอ้วนรวม 200 คน กินอาหารวันละ 1,200-1,500 แคลอรี
โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย 4 กลุ่มเข้าโครงการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน หลังจากผ่านไป 6 เดือนพบว่า
ทุกกลุ่มสามารถลดน้ำหนักได้ร้อยละ 10 แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ได้
ยกเว้นคนที่ออกกำลังกายเฉลี่ยสัปดาห์ละ 275 นาที หรือวันละ 55 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน

ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษให้ทัศนะต่องานวิจัยชิ้นนี้ว่า เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า
หากต้องการรักษาน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้วให้คงที่จะต้องออกกำลังกายมากกว่า
ทางการอังกฤษแนะนำว่าหากอยากมีสุขภาพแข็งแรงให้ ออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
ปัจจุบันผู้ใหญ่ชาวอังกฤษมีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนประมาณ 2 ใน 3
คาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 9 ใน 10 ภายในปี 2593 งานวิจัยส่วนใหญ่แนะว่า
การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการควบคุมปริมาณแคลอรีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก
แต่คนส่วนใหญ่ที่ควบคุมอาหารมักไม่สามารถรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ได้
งานวิจัยล่าสุดนี้จึงยืนยันว่า การออกกำลังมาก ๆ เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในเรื่องนี้

แหล่งข่าว ไอเอ็นเอ็น นิวส์

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับหุ่นดีของสาวทันสมัย

สาวๆ ที่มีรูปร่างท้วมทั้งหลายคงจะรู้สึกแปลกใจกันใช่ไหมคะ เวลามองไปทางไหน ทำไมสมัยนี้ผู้หญิงส่วนมาก
ถึงได้รูปร่างดี ผอมเพรียวเป็นนางแบบกันไปซะหมด แล้วก็พลอยคิดกันไปว่าสาวๆ เหล่านั้นช่างโชคดีจังเลยนะ
ทานอะไรเข้าไปก็ไม่อ้วนสักที ก็จริงอยู่...ที่ว่าบางคนอาจโชคดีแบบนั้นนะคะ
แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเรารู้จักเลือกที่จะทานอาหารดีๆ ผู้หญิงเราทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะสวยและรูปร่างดีได้เหมือนกันค่ะ
เคล็ดลับที่เอามาฝากต่อไปนี้ รับรองเลยว่าต้องช่วยบรรดาคุณผู้หญิงทั้งหลายได้ไม่มากก็น้อย



อันดับแรก


เราควรทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อค่ะ ซึ่งแต่ละมื้อต้องพยายามทานอาหารประเภทแป้งให้น้อยที่สุด
โดยเน้นไปที่ผักและผลไม้จะดีมาก ไม่ทานจุบจิบระหว่างมื้อ เพราะนี่เป็นตัวการสำคัญของความเจ้าเนื้อ
และที่ต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ หลังหกโมงเย็นไปแล้ว คุณต้องคิดว่าหมดเวลาในการทานอาหารแล้ว
แต่ถ้าเกิดหิวขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ทางเลือกที่เหมาะสมก็คือผลไม้ที่ไม่หวานจัด หรือนมไขมันต่ำสักแก้ว น่าจะดีที่สุดค่ะ


ข้อต่อมา
เวลาจะทานอะไรก็ตาม ต้องพยายามทานอย่างช้าๆ ใจเย็นๆ พยายามเคี้ยวให้ได้อย่างน้อย 10 ครั้งต่อ 1 คำ
ข้อนี้นอกจากจะทำให้เราอิ่มเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วยนะคะ
พอระบบขับถ่ายดี ผิวพรรณก็สดใสตามมาด้วยค่ะ




ข้อสาม


สาวๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นของโปรด แต่เป็นศัตรูตัวร้ายในการลดน้ำหนักของเรา นั่นก็คือ
อาหารฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลม หรือถ้าใครที่ชอบดูหนังบ่อยๆ ก็คงจะอดไม่ได้ที่จะซื้อข้าวโพดคั่วไปทานในโรงหนัง
ซึ่งจะต้องทำใจหลีกเลี่ยงให้ได้ เพราะเจ้าข้าวโพดคั่วนี่แหละเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง
แต่การดูหนังเป็นกิจกรรมที่เราไม่ได้ออกแรงอะไรเลย ซึ่งถ้าทานเข้าไปมาก ก็จะเกิดการสะสมของพลังงาน
และอีกอย่างที่สาวๆ กลัวเป็นที่สุดคือ เซลลูไลต์นั่นเอง!


ที่สำคัญมากอีกหนึ่งข้อ


สำหรับซัมเมอร์นี้ก็คือ ต้องตัดใจจากผลไม้ต้องห้ามที่มาแรงในช่วงหน้าร้อน นั่นก็คือ ทุเรียนและมะม่วงนั่นเอง
แล้วถ้าผลไม้ 2 ชนิดนี้มาพร้อมกับข้าวเหนียวมูนด้วยล่ะก็ อันนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ
แคลอรี่ล้นหลามอย่าบอกใครเชียว ทานเข้าไปแล้ว มีหวังต้องไปเริ่มนับ 1 ในการลดน้ำหนักใหม่แน่ๆ

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

สูตรล้างของเสียในลำไส้โดยไม่ต้องทำ detox

สูตรล้างของเสียและไขมันในลำไส้โดยไม่ต้องทำ detox

เตรียมมะนาวลูกใหญ่ 1 ลูกหรือลูกเล็ก 2 ลูก บีบเอาแต่น้ำใส่ถ้วยไว้

เติมนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต ประมาณ 150 ซีซี หรือน้อยกว่านั่นถ้าถ่ายเหลวอยู่แล้ว

เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ หรือมากกว่านั่น ถ้าไม่เป็นเบาหวานหรือโรคอ้วน

นมสดจริงๆ ประมาณ 100 ซีซี


*** ผสมทุกอย่างเข้ากันแล้ว ดื่มช่วงเช้าก่อนอาหาร
จะช่วยละลายของเสียในลำไส้ ไขมันอุดตันต่างๆ และช่วยลดน้ำหนัก ประมาณ 2 อาทิตย์จะเห็นผลว่า นอนหลับง่าย ไม่หงุดหงิดง่าย ผิวที่แห้งกร้านจะขาวผ่อง รอยเหี่ยวย่นจะลบเลือน ร่างกายจะสดชื่น สังเกตุจากตอนตื่นนอนตอนเช้า ร่างกายจะไม่เพลีย และช่วยลดการเสี่ยงโรคมะเร็งด้วย
หมายเหตุ โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว ถ้ากินช่วงเช้าจะช่วยลดความอ้วน แต่ถ้ากินช่วงบ่าย (หลังบ่าย 3 โมง) จะเพิ่มความอ้วน

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สังกะสี Zinc / สารอาหารเพื่อความงาม

แหล่งที่พบ ได้แก่อาหารที่มีโปรตีนสูงเช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ตับ นม เนยแข็ง อาหารทะเล ปู กุ้ง หอยนางรม โดยเฉพาะหอยนางรมให้สังกะสีสูงที่สุดประมาณ 745 มิลลิกรัมต่อหอย 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังได้จากอาหารที่ทำจากบริวเวอร์ยีสต์อีกด้วย
พวกพืชผักได้แก่ ข้าวกล้อง รำข้าวสาลี เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ถั่วเขียว วุ้นเส้นไม่ฟอกขาว งา เมล็ดอัลมอนด์ ผักใบเขียว ผักขม หัวหอม มันฝรั่ง มะเขือเทศ
ผลไม้ได้แก่ มะม่วง แอปเปิล สับปะรด เป็นต้น
ประโยชน์ต่อร่างกาย
มีความสำคัญต่อการดูดซึม และการปฏิบัติหน้าที่ของวิตามินโดยเฉพาะวิตามินบีรวม เป็นส่วนประกอบของน้ำย่อย ไม่น้อยกว่า 25 ชนิด ซึ่งช่วยในการย่อยและการเผาผลาญ
โดยเฉพาะการย่อยคาร์โบไฮเดรต และการเผาผลาญฟอสฟอรัส
สังกะสีช่วยในการสังเคราะห์ RNA และ DNA ซึ่งเป็นตัวควบคุมการสร้างเซลล์ การทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และเป็นตัวนำถ่ายทอดพันธุกรรม
ชะลอความแก่ หรือยืดอายุความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวขึ้นได้ โดยสังกะสีจะช่วย
ชะลอความแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติให้ช้าลง
ถ้าเซลล์สมองถูกทำลายความคิด และความจำ ความคล่องแคล่วจะลดลง
ช่วยในการปฏิบัติงานของอินซูลิน ถึงแม้ว่าสังกะสีไม่เป็นส่วนประกอบของอินซูลิน แต่อินซูลินจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยสังกะสี จำเป็นสำหรับการหายใจของเนื้อเยื่อคือ ช่วยขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเลือดทางปอด ช่วยรักษาแผล
โดยเฉพาะแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ให้หายเร็ว สังกะสีมีความจำเป็นสำหรับสุขภาพของผิวหนังป้องกันสิว และผิวมัน คนที่เป็นสิว และผิวมันจะพบว่าความเข้มข้นของสังกะสีในเลือดต่ำกว่าปกติ
สังกะสีมีความสำคัญต่อ ระบบทางเดินอาหารและระบบประสาทส่วนกลางให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ความผิดปกติทางอารมณ์เป็นผลจากการขาดสังกะสี ช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอล

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สวยก่อนนอน นอนให้สวย

การนอนหลับกับผิวพรรณ การนอนหลับที่ดีควรเป็นการนอนหลับอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีความรู้สึกไม่สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน ซึ่งการนอนหลับที่ดีที่ส่งผลต่อการมีผิวพรรณที่ดีนั้น
ควรมีปัจจัยดังนี้
1.นอนถูกเวลาและปริมาณ ความต้องการนอนหลับของมนุษย์เรานั้นไม่เท่ากัน ยิ่งอายุน้อยยิ่งต้องการนอนมาก และความต้องการนอนหลับสำหรับผู้ใหญ่โดยทั่วไปแล้วประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งที่สำคัญคือร่างกายจะมีการสะสม ถ้าเรานอนไม่พอก็จะต้องการนอนมากขึ้นในวันต่อไป นอกจากนี้ เวลาเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนและสารต่างๆ ที่จำเป็นในการก่อให้เกิดสุขภาพผิวพรรณที่ดี จะผลิตเป็นเวลาตามที่ร่างกายกำหนด เวลาที่แนะนำให้ควรเข้านอนเพื่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดี ไม่ควรจะเกิน 4 ทุ่มของแต่ละคืน
2.นอนถูกที่ ถูกสิ่งแวดล้อม ถ้าสิ่งแวดล้อมที่เรานอนไม่เหมาะสม เช่น มีเสียงรบกวน มีแสงสว่างมากเกินไป มีการระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม ต่างก็ส่งผลกระทบต่อกระบวนการนอนหลับอย่างต่อเนื่องของร่างกายทั้งสิ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการนอนหลับลดลง
3.นอนถูกท่า การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำหน้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคางที่เรียกว่า Sleep Line นอกจากนี้ การนอนคว่ำยังทำให้เกิดรอยตีนกาได้ง่าย เนื่องจากผิวบริเวณรอบดวงตาจะเป็นผิวที่บอบบางและเกิดริ้วรอยได้ง่ายมาก
นอกจากประโยชน์ด้านความงามแล้ว ท่านอนหงายยังเป็นท่าทางการนอนที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะเป็นท่านอนที่ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอก ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้อย่างคล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ทำให้สามารถวางตัวอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด
เมื่อหลังแตะฟูกให้หลับในท่านอนหงายเหยียดยาวในชุดที่ไม่รัด พร้อมกับใช้หมอนใบเล็กรองใต้คอแทนหนุนศีรษะได้ยิ่งดี การเหยียดแขนออกห่างตัว หรือไม่ก็งอศอกไว้เหนือศีรษะจะได้ไม่กีดขวางระบบทางเดินหายใจหรือสูบฉีดโลหิต ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้คล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ช่วยให้กล้ามเนื้อหลัง ไหล่ และคอ ได้รับการผ่อนคลายได้ดีที่สุด (ยกเว้นผู้ป่วยหรือสตรีมีครรภ์)
หลับสบายไร้ริ้วรอย ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรศาสตร์ จากพาร์เกอร์แอนด์มอร์แกน ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด การนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำนานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า
ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรศาสตร์ แนะนำว่า การใช้หมอนสำหรับคนนอนหงาย ควรใช้หมอนทรงต่ำจะเหมาะสมที่สุด เพราะหมอนต่ำจะช่วยพยุงกระดูกสันหลังให้อยู่ในระดับเดียวกับที่นอนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ควรใช้หมอนที่สูงเกินไป เพราะจะทำให้ส่วนศีรษะของคุณกระดกมาด้านหน้าเข้าหาลำตัวในท่าก้มมากขึ้น ซึ่งนอกจากไม่เป็นผลดีกับคอแล้ว ยังทำให้หายใจลำบากด้วย และควรมีส่วนที่ช่วยรองรับส่วนเว้าของต้นคอ เพื่อลดแรงกดของกล้ามเนื้อคอ
ถึงแม้จะมีหลายๆ ปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้ผิวของมนุษย์เราเกิดการชราภาพได้เร็วก่อนเวลาอันควร แต่ถ้าเรารู้จักดูแลสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเรา นั่นก็คือการพักผ่อนที่เพียงพอและถูกวิธี เพราะนอกจากจะส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ระบบร่างกายภายในแข็งแรงอีกด้วย สวยก่อนนอน
1.เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว ถ้าเป็นคนผิวแห้งก็จะแนะนำเป็นพวกครีมน้ำนม ซึ่งเป็นการทำความสะอาดและเติมความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย แต่ถ้าเป็นคนผิวธรรมดาหรือผิวมัน แนะนำให้เป็นผลิตภัณฑ์จากโฟมน้ำผึ้ง ซึ่งจะเหมาะกับสภาพผิว
2.การล้างหน้า เวลาล้างหน้าอย่าใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เพราะ 2 นิ้วนี้เมื่อกดลงใบหน้าจะมีแรงกดมาก ทำให้เกิดริ้วรอย ควรใช้เพียงนิ้วกลางและนิ้วนางเท่านั้น โดยเริ่มหมุนนิ้วออกเป็นวงกลม เริ่มจากบริเวณคาง คลึงนวดเบาๆ ไล่ขึ้นไปตามแก้ม ไล่จากบริเวณจุดกลางไปตามลายกล้ามเนื้อออกไปทางด้านข้าง ไล่ขึ้นไปที่หน้าผาก เป็นการต้านแรงโน้มถ่วง อาจจะเน้นบริเวณร่องข้างจมูก เพื่อหลีกเลี่ยงสิวเสี้ยน
3.การลงเคล็นซิง ให้ทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาที-1 นาที เพื่อให้ตัวครีมนี่ทำละลายกับสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง คราบไขมันอุดตัน
4.วิธีล้างออก วักน้ำขึ้นมาแล้วให้เอาน้ำแปะบนผิวหน้า ห้ามถู เพราะจะยิ่งทำให้เหมือนเป็นการกดไปบนหน้าเรา จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ เคล็ดลับง่ายๆ แค่นี้ ช่วยให้คุณสวยได้ทั้งยามหลับและยามตื่น
ข้อมูลจาก http://women.sanook.com/beauty/tips/btip_53731.php

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ดูแลผมแห้งเสียให้กลับมานุ่มสลวย

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเส้นผมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผมเป็นปราการด่านแรกๆ ที่สายตาคนเรามักจับจ้อง และยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ เติมเต็มความมั่นใจให้สาวๆ ในทุกกิจกรรมตลอดวัน ยิ่งเป็นเวิร์กกิ้งวูเมนด้วยแล้วต้องสวยเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้า ดังนั้น สารพัดวิธีที่จะทำให้ผมคุณดูดีคงหนีไม่พ้นการจัดแต่งทรง ดัด ยืด ทำสี หรือไฮไลต์
แต่ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผมเสียอย่าง โดฟ ได้ทำการสำรวจพบว่าผู้หญิงไทยกว่า 80% มักมีผมอ่อนแอ แห้ง เสีย และแตกปลาย ลองมานั่งนับนิ้วกันดูดีกว่าว่าเส้นผมของคุณผ่านร้อนผ่านหนาวเพื่อให้ดูดีและอินเทรนด์มากี่ร้อยครั้งแล้ว เอาง่ายๆ เลย (ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้)
แค่กิจกรรมที่คุณทำกับเส้นผมในชีวิตประจำวัน เพียงการหวีผม มัดผม เช่น รวบผมม้า ถักเปีย ก็ทำให้เกล็ดผมเปิดแล้ว ในขณะที่การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น แฮร์สเปรย์ ยังทำลายผิวด้านนอกของเส้นผม จากการที่สารเคมียึดเส้นผมแต่ละเส้นไว้ด้วยกันให้เข้าทรง เช่นเดียวกับการไดร์ผม หรือรีดผมด้วยความร้อนสูงๆ เป็นประจำ
ความชื้นที่อยู่ในเส้นผมจะเดือดเป็นฟองและทำร้ายแกนผมได้ นี่ยังไม่รวมถึงการที่ผมได้รับสารเคมี เช่น เวลาที่คุณทำสีหรือไฮไลต์ สารเคมีในสีย้อมผมจะทำให้เกล็ดผมเปิดออกอย่างเต็มที่ก่อนที่ผมสวยจะโบกมือลาคุณไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะแห้งเสียและยับเยินอย่างรุนแรง โดฟจึงนำเคล็ดไม่ลับ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถเปลี่ยนผมแห้งเสียให้กลับมาสวยได้ด้วยตัวคุณเอง มาฝากสาวๆ กัน เริ่มที่
1. สำรวจต้นตอของปัญหา เริ่มแรกควรวิเคราะห์สุขภาพเส้นผมกันก่อน ว่าส่วนไหนที่แห้งเสียมากที่สุด เช่น ปลายผมที่แตกแดงหรือฉีกขาด ก็ควรจะเล็มหรือตัดออกให้สิ้นซาก
2. หันมาใส่ใจดูแลอย่างต่อเนื่อง หลังขจัดต้นตอผมที่ไร้ชีวิตแล้ว ก็ถึงเวลานับหนึ่งใหม่สำหรับการดูแลและบำรุง ดังนั้น จึงต้องได้รับการดูแลและบำรุงอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำความสะอาดควรเลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับสภาพผมแห้งเสีย หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้ และบำรุงด้วยครีมนวดผมเป็นประจำทุกครั้งหลังสระผม ยิ่งผมแห้งเสียรุนแรงด้วยแล้ว ครีมนวดผมทั่วไปอาจมีความเข้มข้นไม่เพียงพอต่อการบำรุง ดังนั้น ควรมองหาครีมนวดผมที่มีประสิทธิภาพการบำรุงอย่างล้ำลึก และสามารถซึมซาบเข้าบำรุงได้ตรงจุดเพื่อการแก้ปัญหาผมเสียให้ได้ผลเร็วยิ่งขึ้น หลังทำความสะอาดด้วยแชมพูและบำรุงด้วยครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของทรีทเม้นท์แล้ว หมั่นฟื้นฟูและบำรุงผมสัปดาห์ละครั้งด้วยทรีทเม้นท์ มาส์ก และตามด้วยลีฟออยทุกครั้งหลังสระผม เพื่อฟื้นฟูเส้นผมแห้งเสียให้กลับแข็งแรงดังเดิม
3. ผมที่ผ่านการทำสี ดัด ยืด หรือไดร์บ่อยๆ ต้องการการดูแลและเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนลุคด้วยการเปลี่ยนทรงใหม่สวยแต่ถ้าหากสภาพเส้นผมของคุณแย่จนแห้งเสียแตกปลายไร้ชีวิตชีวา ทุกอย่างที่ทำมาก็ดูไร้ค่าดังนั้น ควรหมั่นดูแลและบำรุงอย่างสม่ำเสมอให้ครบทั้ง 3 ขั้นตอน
โดยเฉพาะ การใช้ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของทรีทเม้นท์เป็นประจำทุกครั้งหลังสระผมด้วยแชมพู เพื่อฟื้นฟูผมแห้งเสียให้กลับมีสุขภาพดีเพียงเท่านี้ เวิร์กกิงวูเมนสุดมั่นอย่างคุณ ก็สามารถคืนผมสวยสุขภาพดีได้ดังเดิม แถมยังอินเทรนด์ตลอดเวลาอีกด้วย
ที่มา MG

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คืนผมสวยให้สาว 30 ...(ยังแจ๋ว) โดย สายสุดา เชื้อวิวัฒน์

เรื่องสวยๆ งามๆ กับผู้หญิง ไม่ว่าจะย่างเข้าสู่วัยไหนก็ตาม ไม่เคยเป็นเรื่องไกลตัวเลยสักนิด ยิ่งย่างเข้าสู่ช่วง 30 ยังแจ๋วด้วยแล้ว
นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสาววัยทำงานแทบทุกคน ไม่ยกเว้น แม้แต่เรื่อง “สุขภาพเส้นผม” ที่ก็สามารถเสื่อมสภาพตามวัยด้วยเช่นกันในงาน Surprise Party@30 yrs Old up !!!
ณ สถาบัน L’Oreal Professtional ที่นำนวัตกรรมใหม่ล่าสุด Age Densiforce ช่วยคืนสภาพเส้นผมสู่ความอ่อนเยาว์ ด้วยอานุภาพ OMEGA 6 ก็อบอวลไปด้วยทิปเก๋ๆ เพื่อการรักษาสุขภาพเส้นผมสำหรับสาวๆ วัย 30 ปีขึ้นไป
โดยกูรูด้านเส้นผม เล็ก-สายสุดา เชื้อวิวัฒน์ ช่างผมแถวหน้าของเมืองไทยจาก KG Salonเพราะผมคนเราก็ไม่ต่างจากผิวพรรณ เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นย่อมเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ครูเล็กแห่งเกตุวดี เล่าว่า
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า วัย 30 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของร่างกาย อย่างไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด ! สุขภาพเส้นผมก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ต้องทำความเข้าใจใหม่สักนิดว่า การสระผมบ่อยๆ ก็ดีอยู่ในเรื่องของการทำความสะอาดเส้นผม
แต่กระบวนการทำความสะอาดนี้ ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เส้นผมเสื่อมภาพได้เร็วขึ้นด้วยเหมือนกัน และกว่าจะมาถึงอายุ 30 แต่ละคนคงสระผมกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแน่นอนวิธีที่กูรูท่านนี้แนะนำคือ การใช้ลมเย็นจากไดรเออร์ช่วยเป่าสิ่งสกปรกให้กับเส้นผม และความมันบนหนังศีรษะ หลังจากที่ต้องไปเผชิญกับฝุ่นละอองมาทั้งวัน
การใช้ลมเย็นๆ เป่า ก็จะเป็นการทำความสะอาดได้วิธีหนึ่ง โดยให้ก้มลงเป่าย้อนไปย้อนมา เพียงไม่ถึง 2 นาทีก็สามารถทำความสะอาดเส้นผมได้โดยไม่ต้องสระแต่สำหรับใครที่อดไม่ได้ ขอสระผมบ่อยๆ เหมือนเดิม เพราะติดเป็นนิสัยซะแล้ว ครูเล็กก็ยังแนะเพิ่มเติมว่า
สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ การเลือกใช้แชมพูให้เหมาะกับชนิดของเส้นผมคือ ต้องสังเกตว่าผมของตัวเองเป็นอย่างไร แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ให้ถามช่างดูว่า ผมเราเป็นผมชนิดไหน
ขั้นตอนต่อไป ให้ดูที่หนังศีรษะว่า เราเป็นคนที่มีหนังศีรษะแบบไหน เช่น หนังศีรษะมัน เป็นรังแค หรือว่าหนังศีรษะแห้ง ดังนั้น เวลาที่เลือกแชมพูต้องเลือกให้เหมาะกับทั้งหนังศีรษะและเส้นผมด้วย เพราะบางทีปัญหาหนังศีรษะกับปัญหาเส้นผมนั้นไม่เหมือนกัน
ก็สามารถให้ช่างแนะนำได้ ซึ่งพอรู้ถึงตรงนี้ แล้วก็อย่า! ลืมทำทรีตเมนต์ และบำรุงเส้นผมไปด้วย ครูเล็กย้ำ“พอเรารู้สภาพเส้นผม
จากนั้นเราก็ไปเลือกผลิตภัณฑ์ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง เหมาะกับวัยของเรา โดยผลิตภัณฑ์นั้นต้องรักษาสุขภาพหนังศีรษะและสุขภาพของเส้นผมได้ด้วย เพื่อให้เกิดผลดี ช่วยลดจำนวนครั้งในการสระผม กลายเป็นทุกๆ 2 วัน แล้วจึงค่อยสระก็ยังได้
เพื่อเปิดโอกาสให้น้ำมันของเส้นผมที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ออกมาชโลมจนถึงปลายเส้นผมบ้างเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพผมที่ดี ย้อนเส้นผมของเราให้กลับดูมัน เงางาม เหมือนเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่เคยผ่านสารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น”
จาก http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000094789

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สูตรพอกหน้า 7 ประเทศ

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ
แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี
แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก
แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน.

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

====ทำเอมไซด์แอปเปิ้ลหน้าใสแบบง่ายๆด้วยตัวเอง=====

สูตรหน้าใสจากธรรมชาติสูตรนี้ได้มาจากคนรู้จัก เค้าใช้แล้วหน้าใสขึ้นจริงๆ มีของดีและถูกอย่างนี้ต้องบอกต่อซะแล้ววิธีใช้ก่อนล้างหน้าตอนเช้าหรือเย็นทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีหรืออาจจะนานกว่านี้แล้วก็ล้างหน้าตามปกติ ยิ่งถ้ากินก็จะช่วยให้ปิ๊งจากข้างใน แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ใช้ทาภายนอกอย่างเดียวส่วนผสม
1. น้ำผึ้ง
2. แอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
3. น้ำสะอาด
4. ขวดใส (ขวด pet ที่ใสน้ำเปล่าขาย)
วิธีทำ
ใส่น้ำผึ้งไปประมาณขีดที่ 1 ของขวดแล้วก็ใสแอปเปิ้ลไปเท่าๆกันใสน้ำลงไปพอไปเกือบเต็มขวด พอให้อากาศเข้าไปได้ แล้วก็เขย่าให้เข้ากันปิดฝา
วันที่ 2 ก็ค่อยเปิดฝาให้แก็สที่มีอยู่ในขวดออกมาสักพักก็ปิดฝาเขย่าทิ้งไว้ วันต่อๆไปก็ทำแบบนี้อีก 7-10 วัน คุณก็จะได้เอมไซด์เอาไปพอกหน้าให้สวยใสจากธรรมชาติค่ะ +===+====+

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

น้ำมะพร้าวชะลอวัยทอง & สมองเสื่อม

น้ำมะพร้าวชะลอวัยทองสมองเสื่อม นอกจากน้ำมะพร้าวช่วยลดอาการวูบวาบของสตรีวัยหมดประจำเดือนได้แล้ว ยังลดอาการอัลไซเมอร์สได้ด้วยนะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยืนยันคุณสมบัติน้ำมะพร้าวชะลอโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มหญิงวัยทอง ทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์
หากรับประทานระยะยาวเสี่ยงเกิดมะเร็ง ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่ขาดฮอร์โมนจากรังไข่มากระตุ้นมดลูก เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ กระดูกผุ จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนสังเคราะห์ทดแทน อย่างไรก็ดี มีผลวิจัยจากต่างประเทศเตือนว่า การรับฮอร์โมนสังเคราะห์ต่อเนื่องนานกว่า 5 ปี มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทีมวิจัยจึงตั้งเป้าหาสารธรรมชาติทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์ โดยนำน้ำมะพร้าวมาศึกษา
เนื่องจากมีเอสโตรเจนสูงไม่ต่างจากถั่วเหลืองและกวาวเครือขาว หลังทดสอบฤทธิ์ของน้ำมะพร้าวในหนูขาวเพศเมียที่ถูกตัดรังไข่ พบว่าหนูที่ได้รับน้ำมะพร้าวมีพยาธิสภาพของโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าว คนสมัยก่อนมักแนะนำให้สตรีวัยทองดื่มน้ำมะพร้าว เพื่อลดอาการวูบวาบจากภาวะหมดประจำเดือน แต่ยังไม่มีงานวิจัยเชิงลึกเพื่อยืนยันคุณสมบัติของน้ำมะพร้าว เพื่อใช้เป็นแหล่งฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจน นักวิจัยนำหนูขาวเพศเมีย อายุ 4 เดือน มาตัดรังไข่ออกและแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้น้ำมะพร้าวปริมาณ 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มไม่ให้น้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์
จากนั้นนำไปผ่าสมองเพื่อตรวจสอบระดับเซลล์ “น้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงไม่ต่างกับถั่วเหลืองและกวาวเครือขาว ที่หญิงวัยทองส่วนใหญ่บริโภคทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์อยู่ แต่ก็ไม่ควรดื่มมาก อาจเลือกดื่มสลับกับน้ำนมถั่วเหลือง เนื่องจากมีส่วนกระตุ้นให้ไขมันชนิดดี (เอชดีแอล) มีปริมาณสูงขึ้นเกินความจำเป็นด้วย” ดร.นิซาอูดะห์กล่าว ผลการตรวจสอบพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมะพร้าวจะมีอัตราการตายของเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าว
แผลที่เกิดจากการผ่าตัดแห้งและหายได้เร็วกว่า มีขนที่นุ่มและผิวขาวใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ทีมวิจัยกำลังศึกษาต่อในส่วนของการออกฤทธิ์สมานแผลของน้ำมะพร้าว เพื่อหาข้อสรุปว่า
นอกจากการนำน้ำมะพร้าวมาใช้เป็นสารทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์สำหรับหญิงวัยทองได้แล้ว ยังสามารถออกฤทธิ์รักษาบาดแผลได้จริงหรือไม่
ที่มา http://women.thaiza.com