คนส่วนมากมักมาพบแพทย์ผิวหนังด้วยเรื่องปัญหาผมร่วงหรือผมบางซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น
ผมร่วงเฉพาะที่(Alopecia areta)ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียดเป็นต้น
ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
และระหว่างนี้คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร?
ซึ่งเป็นคำถามที่แพทย์ผิวหนังจะโดนถามบ่อยมาก ผมจึงรวบรวมเคล็ดลับการดูแลผม
ซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นานๆ ครับ
อย่ายุ่งกับผมมากนัก
เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่างๆมากมาย
นอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก
และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้
แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว
ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไปจนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ครับ
เลือกหวี (comb) ที่ดี
สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือการหวีผม
เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร
เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไปก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้
และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon)เคลือบไว้ที่ฟันด้วย
ก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หนเพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี
เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับเพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานานๆผมจะร่วงมากกว่าครับ
เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5-10 ครั้งก็พอแล้ว
เลือกแปรง (brush) ที่ดี
ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร
และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน
ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่นิยมกันคือ
แปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อก็คือลองแปรงผมของคุณ
ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวดก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ
อย่าหวีผมตอนผมเปียก
เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อจะให้ผมดูดี
แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมากไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก
อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม
และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้วจึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่าครับ
ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน
คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้าน
หรือใช้ที่ครอบผม(hood)ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้
และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด "bubble hair"
ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ
(แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกันครับ
อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ
ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะบางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะ
หรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก
ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า
เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ร่วมกับแชมพูยาสระผม
และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทาน
เพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรกครับ
ลองใช้ conditioning shampoo ดู
ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้นมักมีผมที่เสียมากพอสมควร
การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้
แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกันโดยใช้ครีมนวดผม(conditioner)ตามหลังแชมพู
ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม
instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม
ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน(silicon)ประกอบด้วย
การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ
ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน
การใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง
โดยการหมักไว้ประมาณ 20-30นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil)
หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน
เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง
ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป
คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้งเพราะอยากเก็บผมไว้นานๆ
แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์
แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วยครับ
ที่มา : นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น