วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีกระชับคางย้อยเข้ารูปทรง

ใครที่กำลังหาวิธีแก้ปัญหาคางไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย
วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีกระชับคางย้อยเข้ารูปทรงมาฝากกัน...

การแก้ปัญหาคางที่ไม่ได้สัดส่วนหรือคางย้อย ให้กลับมาสวยงามได้
รูปทรง คาง เป็นจุดหนึ่งที่สำคัญของความงามบนใบหน้า ตามวิธีธรรมชาติ
โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมตกแต่ง ให้สิ้นเปลืองเงินทองหรือเสี่ยงอันตรายสามารถทำได้โดย

เริ่มต้นจากตอกไข่ คัดเอาแต่ไข่ขาวล้วนๆตีเบาๆนำมาทาใต้คางและแก้มส่วนล่างที่หย่อนยาน
เริ่มกระบวนการจากใต้ใบหูข้างหนึ่ง ไปอีกข้างหนึ่ง โดยใช้หัวแม่มือแตะใต้กกหู
แล้วค่อยๆ ยกขึ้น วนไปตามแก้มและคาง กดและยกเบาๆ อยู่ประมาณ 15 นาที
ถ้ากลัวเมื่อยก็เอาข้อศอกเท้าโต๊ะไว้ รอจนไข่ขาวแห้งสนิท
แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้เพียงอาทิตย์ละสองครั้งก็จะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว

ถ้าใครรู้ตัวว่า คางไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

แหล่งที่มา เดลินิวส์

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีฟื้นฟูผิวหน้าแบบเร่งด่วน

เคยไหมคะ ?… ที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเจอเข้ากับใบหน้าหมองคล้ำ ไม่ใส่ปิ๊งปั๊ง
ริ้วรอยยับย่นต่าง ๆ ก็ไม่รู้มาจากไหน ดูแล้วชวนให้หดหู่ใจเป็นที่สุด
Amanda Lacey ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหน้าบอกว่าอย่าตกใจไปค่ะ
มีวิธีที่ช่วยให้เช้าอันหม่นหมองของคุณสดใสขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาบอกต่อกันด้วย

อย่างแรก เธอแนะว่าให้ดื่มน้ำร้อนที่หยดน้ำมะนาวคั้นสดเหยือกใหญ่นำไปก่อน
จากนั้นควรมีการออกกำลังสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการเติมออกซิเจนให้กับผิวหน้า
เลือกเอาค่ะจะเป็นเดิน วิ่ง โยคะ หรือเต้นไปรอบ ๆ บ้านก็ได้ตามชอบ
ตามด้วยการสูดหายใจลึกๆ ช้าๆ อย่างน้อย 6 ครั้ง
คราวนี้เดินไปส่องกระจกใหม่อีกครั้งค่ะ คุณจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนทีเดียว

ต่อมาให้ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยเคลนเซอร์อย่างดี ล้างออกด้วยผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดๆ
แล้วตามด้วยผ้าชุบน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่งเพื่อกระชับผิว และรอยแดง
แต่ขณะที่เช็ดหน้าด้วยผ้านี้มีเคล็ดลับอีกนิดว่าคุณควรเอนศีรษะไปข้างหลัง
(อาจนั่งพิงพนักโซฟาก็ได้ค่ะ) แล้ววางผ้าโปะทิ้งไว้สัก 1–2 นาที
เสร็จแล้วให้ทาม้อยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วยปลายนิ้ว อย่าถูหน้าแรงๆเด็ดขาด
และระหว่างวันก็อย่าลืมดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อย 1 ลิตรด้วยนะคะ

แล้วหน้าใสปิ๊งก็จะกลับมาหาคุณอย่างรวดเร็วแน่ค่ะ…

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คอสวย...ไร้รอยเหี่ยวย่น

สาวๆ เป็นแบบตาโตกันรึเปล่า มัวแต่เป็นห่วงเฉพาะหน้า ผม ผิว ปาก เท่านั้น ดันลืมดูแลคอ
มิน่าล่ะส่องกระจกทีไร ตกใจทุกที เพราะมันช่างไม่เข้ากันซะเลย หน้าเด้ง
ส่วนคอเห็นรอยย่นเต็มไปหมด ถ้าคำตอบคือใช่...
งั้นเรามาดูแลคอกันเถอะ ง่ายๆ แค่ชโลมครีมให้ชุ่มชื่นทุกเช้า ค่ำ หมั่นออกกำลังกายด้วยการผงกศีรษะไปข้างหลัง
อ้าปากกว้างๆ แล้วหุบสนิท ทำซ้ำ 10 ครั้ง (ตอนที่อ้าปากดูคนรอบข้างด้วยนะจ๊ะ จะหาว่าไม่เตือน)
และอย่าลืมรับประทานผักผลไม้มากๆ ตามด้วยดื่มน้ำ วันละ 8-10 แก้ว เป็นอย่างน้อย
คุณที่มีปัญหารอยย่นที่คอต้องรีบนำไปทำตามแล้วนะจ๊ะ

ที่มา http://www.komchadluek.net/2007/12/17/i001_181456.php?news_id=181456

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับผมสวย 10 ประการ

คนส่วนมากมักมาพบแพทย์ผิวหนังด้วยเรื่องปัญหาผมร่วงหรือผมบางซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น
ผมร่วงเฉพาะที่(Alopecia areta)ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียดเป็นต้น
ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
และระหว่างนี้คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร?
ซึ่งเป็นคำถามที่แพทย์ผิวหนังจะโดนถามบ่อยมาก ผมจึงรวบรวมเคล็ดลับการดูแลผม
ซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นานๆ ครับ

อย่ายุ่งกับผมมากนัก
เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่างๆมากมาย
นอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก
และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้
แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว
ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไปจนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ครับ


เลือกหวี (comb) ที่ดี
สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือการหวีผม
เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร
เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไปก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้
และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon)เคลือบไว้ที่ฟันด้วย
ก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หนเพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี
เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับเพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานานๆผมจะร่วงมากกว่าครับ
เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5-10 ครั้งก็พอแล้ว


เลือกแปรง (brush) ที่ดี
ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร
และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน
ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่นิยมกันคือ
แปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อก็คือลองแปรงผมของคุณ
ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวดก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ


อย่าหวีผมตอนผมเปียก
เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อจะให้ผมดูดี
แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมากไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก
อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม
และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้วจึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่าครับ


ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน
คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้าน
หรือใช้ที่ครอบผม(hood)ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้
และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด "bubble hair"
ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ
(แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกันครับ


อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ
ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะบางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะ
หรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก
ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า
เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ร่วมกับแชมพูยาสระผม
และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทาน
เพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรกครับ


ลองใช้ conditioning shampoo ดู
ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้นมักมีผมที่เสียมากพอสมควร
การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้
แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกันโดยใช้ครีมนวดผม(conditioner)ตามหลังแชมพู


ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม
instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม
ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน(silicon)ประกอบด้วย
การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ


ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน
การใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง
โดยการหมักไว้ประมาณ 20-30นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil)
หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน
เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง


ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป
คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้งเพราะอยากเก็บผมไว้นานๆ
แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์
แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วยครับ

ที่มา : นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไดร์ผมให้สวยด้วยตนเอง

ใครที่อยากผมสวย โดยไม่ต้องเข้าร้านทำผม มีวิธีการไดร์ผมให้สวยด้วยตัวเองมาฝาก....

ควรใช้ไดร์เป่ากับผมชื้นๆ ไม่ใช่ผมเปียก
จะไดร์ผมเองให้ได้ดี ผมต้องชื้น ๆเพื่อให้ได้ความเรียบและถ้าใช้แปรงกลมช่วยเป่าไดร์
ขณะที่ผมแห้งบ้างแล้ว ก็จะทำให้ผมเสียน้อยลง เพราะผมเปียกจะอ่อนแอ
และไม่ทนทานกับการดึง การม้วนเท่ากับผมแห้ง

เริ่มที่โคมผมก่อนเสมอ
การไดร์ที่โคนผมก่อนจะช่วยให้ผมดูหนาเต็มและยังช่วยวางพื้นฐานรูปทรงที่ดีให้กับสไตล์
ผมทุกแบบที่ต้องการ เมื่อไดร์โคนผมเสร็จแล้วจะสามารถจัดทรงผมส่วนที่เหลือได้ง่ายขึ้น
ถ้าไดร์ส่วนอื่นก่อนแล้วกลับมาไดร์โคน ผมอาจดื้อไม่ยอมไปในทิศทางที่ต้องการ
จึงยากที่จะจัดทรงให้สวยได้

ไดร์ไม่ทั่ว ผมเสียทรง
ควรเป่าผมให้แห้งสนิททั้งศรีษะ โดยเริ่มจากผมด้านในทีละช่อจนแห้งจริง ๆ
แล้วจึงไดร์ช่อผมที่อยู่ชั้นนอกถัดมา
การไดร์ทีละชั้นแบบนี้จะช่วยให้เส้นผมเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ
และอยู่ทรงสวยได้นานกว่าปล่อยให้ผมบางส่วนเปียกชื้นแม้เพียงเล็กน้อย

สลับเป่าลมร้อนกับลมเย็น
เทคนิคหนึ่งที่คุ้มค่าในการลองคือ การใช้ลมร้อนสลับกับลมเย็นในการเป่าผม
เพราะว่าความร้อนจะช่วยทำให้ผมเป็นเกลียวหรือเรียบได้เร็ว
ส่วนลมเย็นจะช่วยให้เกลียวผมอยู่ตัวและเรียบนาน

เลือกไดร์ให้เหมาะ
เครื่องเป่าผมที่มีกำลังเกิน 1800 วัตต์จะดีกว่าวัตต์ต่ำเพราะทำให้ผมแห้งและจัดทรงได้เร็ว
ผมจึงไม่ต้องเจอกับความร้อนนาน ๆ อีกทั้งยังควรมีปรับลมได้หลายระดับ
และมีปุ่ม "Cool" ซึ่งทำให้ปรับเป็นลมเย็นได้ในทันทีและไดร์เป่าผมรุ่นใหม่ยังเพิ่มเครื่อง
พ่นไอออนประจุลบ เพื่อช่วยรักษาสุขภาพผม เพราะประจุลบที่ปล่อยลงไปเคลือบเส้นผม
ขณะเป่า จะช่วยเก็บความชุ่มชื้นเข้าสู่แกนผม ผมจึงเสียน้อยลง

ป้องกันผมจากความร้อน
ไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันเกล็ดผมจากความร้อนขณะไดร์ได้เต็มร้อย
แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อนก่อนไดร์ผมก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น

ถ้าอยากสวย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

8 วิธี ให้สาวๆมีเอวบอบบาง

1. รับประทานผักให้มาก ๆ
จากที่ใช้เวลาศึกษาถึง 10 ปี กับกลุ่มทดลองที่เป็นผู้หญิง 80,000 คน ทำให้ทราบว่า
ผู้หญิงกินเนื้อสัตว์เกินวันละ 7 มือ/อาทิตย์จะมีสิทธ์ลงพุงมากกว่า ผู้หญิงที่รับประทานผักบ่อยๆ
ถึงเท่าตัว เพราะฉะนั้น รับประทานผักให้มาก ๆ ให้ได้สัก 5 ครั้ง/วัน ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ
เพราะคุณอาจเลือกรับประทาน ผักเป็นอาหารว่าง ระหว่างวันบ้างก็ได้ และสำหรับคนที่เกลียด
ผักจริง ๆ อาจจะเริ่มรับประทานแต่น้อย ๆ ก่อนก็ไม่ว่ากัน ส่วนเนื้อสัตว์ คุณก็ไม่จำเป็นต้อง
อดหรอกนะคะ เพียงลดประมาณลงบ้าง และรับประทานเนื้อสัก 2 - 3 มื้อ/อาทิตย์ก็พอค่ะ


2. รับประทานแต่เช้าและรับประทานบ่อย ๆ
หลายคนเข้าใจว่ารับประทานอาหารแค่ 2 มื้อ/วัน แล้วจะผอมกว่าคนที่รับประทานวันละ
3 มื้อปกติ คุณคิดผิดแล้วละค่ะ และถ้ายิ่งคุณเลือกรับประทานมื้อค่ำ เป็นมื้อที่ 2 ด้วยแล้ว
จะทำให้ยิ่งอ้วนไปกันใหญ่เลยค่ะ เพราะจากการศึกษาพบว่าคนที่รับประทานอาหารแต่เช้า
จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีตลอดทั้งวัน และมีโอกาสได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์
มากกว่า เพราะถ้าคุณรับประทานอาหารเช้า ก่อนเวลาเที่ยงคุณจะไม่หิวแน่นอน
แต่ถ้าคุณอดช่วงเช้า ก่อนเที่ยงคุณจะเริ่มหิวและอาจจะหาของขบเคี้ยวต่างๆมารับประทานเล่น
ซึ่งไม่มีประโยชน์ และทำให้อ้วนมากกว่าอาหารหลักอีกนะคะ ถ้ากลัวหิวก็รับประทานอาหารเช้า
และแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ โดยเลือกอาหารที่มีกากใยสูง และให้พลังงานมาก ๆ
เช่นผัก ผลไม้ ถั่วต้ม แบบนี้จะช่วยคลายหิวและทำให้หุ่นสวยได้ค่ะ


3. เดินให้ได้ทุกวัน
เพราะถ้าคุณปฏิบัติตามกฏข้างต้นทุกประการ แต่คุณเอาแต่นอนนิ่งหรือนั่งเฉยๆ ทุกวันล่ะก็
ที่ทำมาทั้งหมดก็เป็นอันสูญเปล่าเพราะเขาค้นพบมาแล้วว่า ผู้หญิงที่เดินอยู่เป็นประจำ
หน้าท้องจะเล็กกว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่กับที่ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเดินให้ได้วันละ 30
นาที ไม่ยากค่ะ แรกเริ่มคุณอาจไม่ต้องเดินเยอะขนาดนั้น เพียงเดินให้บ่อยขึ้นกว่าปกติ
เช่น เปลี่ยนมาใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือลองเดินไปรับประทานอาหารกลางวันไกลๆ ดูบ้าง


4. บริหารหน้าท้องและเพิ่มกล้ามเนื้อ
ก่อนนองลองซิตอัพสัก 15 ครั้ง และถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายบ้าง โดยจะเข้าฟิตเนสส์
เล่นแบดมินตัน หรือว่ายน้ำก็ได้ เพราะการออกกำลังกายทุกชนิด จะช่วยสลายให้ไขมัน
แปรสภาพเป็นกล้ามเนื้อ และยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นเท่าไรระบบเผาผลาญอาหารก็จะ
ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น นี่เองประโยชน์ของการออกกำลังกาย โดยคุณอาจจะหาท่าบริหารง่ายๆ
ทำเองเมื่อกลับถึงบ้านจะยิ่งทำให้คุณหลับง่ายขึ้น ที่สำคัญเขาบอกว่า
ถ้าคุณบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน เช่น แขนไหล่ แล้วเอวคุณจะดูเล็กลงไปด้วยค่ะ


5. รับประทานวิตามิน E
การศึกษาี้พบว่า นอกจากวิตามิน E จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไข้หวัด และมะเร็งได้แล้ว
วิตามิน E ยังช่วยป้องกันหน้าท้องขยายได้ด้วย เพราะวิตามิน E นั้นมีสารต่อต้านอิซูลิน
อันจะทำให้เราอ้วนได้ค่ะ เพราะฉะนั้นลองรับประทานวิตามิน E สักวันละ 2
เม็ดเพื่อควบคุมน้ำหนักดูนะคะ (ข้อนี้ปรึกษาแพทย์ก่อนนะค่ะ)


6. เปลี่ยนนิสัยบอกใจตัวเองไม่ให้เครียด
เครียดเมื่อไรฟังเพลงคลาสสิก คุยกับเพื่อน หรือจะอ่านหนังสือดีๆ เพราะถ้าคุณเอาแต่
นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเก็บกดเวลาเครียดแล้ว ความเครียดตัวร้ายนี้จะไปเร่งฮอร์โมนคอร์ติซอล
(Cortisol) ให้ทำงานมากขึ้น และเมื่อเรามีฮอร์โมนตัวนี้มากขึ้นเมื่อไร
เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ก็จะส่งไขมันของเราไปกองที่หน้าท้องจนหมด อันจะทำให้เราพุงยื่น
เพราะฉะนั้น ถ้าเครียดจงหลับตาสูดหายใจลึก ๆ ทำใจให้สบายจะดีกว่านะคะ


7. คบเพื่อนให้มาก ๆ
อย่าเพิ่งงงนะคะ เพื่อนธรรมดานี่แหละค่ะ คนที่คุณสามารถพูดคุยหรือปรึกษาได้
เพราะการมีเพื่อนไม่ว่าเพื่อนวัยเรียนหรือเพื่อนร่วมงาน จะทำให้บรรยากาศรอบตัวของคุณ
เครียดน้อยลง ลองคิดดูว่าถ้ามาทำงานอย่างเดียว วันๆเจอแต่งานหนักแถมพบแต่เจ้านาย
ทั้งวันละก็ คุณคงเครียดหนักแน่ๆ แล้วทีนี้คุณก็อาจจะใช้วิธีกินเพื่อเป็นการผ่อนคลายก็ได้
เพราะฉะนั้นมีเพื่อนไว้คุยเวลาเครียดหรือเหงาบ้างก็ดีค่ะ โดยเฉพาะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ใน
การลดน้ำหนักเหมือนกัน จะยิ่งทำให้คุณลดน้ำหนักได้ดีขึ้นและสนุกขึ้น
คุณอาจจะแข่งกันออกกำลังกาย ถ้าใครลดน้ำหนักได้มากที่สุดจะได้รางวัล
แบบนี้การลดน้ำหนักจะยิ่งดูมีสีสันและสนุกขึ้นค่ะ


8. ลดละเลิกแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด
ที่เวลาเศร้าใจหรือดีใจทีไรมักฉลองด้วยของมึนเมาโดยเฉพาะเบียร์ เพราะเบียร์จะทำให้
หน้าท้องคุณ ยื่นได้อย่างน่าเกลียดแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ให้ดื่มแต่น้อย
หรือจะเปลี่ยนมาดื่มไวน์แทนก็ไม่เลวเลยค่ะ เพราะไวน์จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดี
แต่ถ้าจะฉลองกันในราคาประหยัดและมีประโยชน์แล้วละก็
ฉลองกันด้วยผักสด ๆ น้ำผลไม้เย็น ๆน่าจะดีกว่านะคะ

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ดูแลหุ่นอย่างไรให้ฟิตและเฟิร์ม

ปัญหากวนใจของสาวๆ หลายคนก็คือเรื่องรูปร่าง บางคนพยายามควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย
กันสารพัดวิธี แต่เจ้าพุงยื่นๆ ต้นแขนใหญ่ๆ ก็มักจะโผล่มาเป็นอุปสรรคความงามกันอยู่เรื่อย

ไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์ที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะ รอบเอว
ต้นแขน ต้นขานั้นจัดว่าเป็นส่วนเกินที่กำจัดยากที่สุด
บางคนถ้ามองรูปร่างโดยรวมก็ไม่ได้อ้วนอะไร แต่ก็ต้องมานั่งกลุ้มใจกับส่วนเกินพวกนี้

เคล็ดลับสำหรับการดูแลหุ่นให้ฟิตและเฟิร์มอยู่ตลอดนั้น จึงต้องอาศัยวินัย และกำลังใจที่ดี
หลักการง่ายๆ ก็คือ หากคุณรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเกินกว่าที่คุณต้องการ
พลังงานส่วนเกินเหล่านั้นก็จะไปสะสมตัวอยู่ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ
ดังนั้น หากคุณต้องการรักษารูปร่างให้สมส่วน คุณก็ต้องควบคุมการรับประทานอาหาร
และการออกกำลังกายให้สมดุล ห้ามตามใจปาก ห้ามขี้เกียจ หรือผัดวันประกันพรุ่งเป็นอันขาด
จำไว้ว่า การโหมลดน้ำหนักเป็นครั้งคราวนั้นไม่ช่วยให้คุณมีรูปร่างดีได้นาน สุดท้ายหากนิสัยเดิมๆ
กลับมา ก็คงไม่แคล้วกลับมาอ้วนอีก หรือบางคนอาจจะต้องเผชิญกับภาวะ Yo-Yo Effect
ที่ทำให้คุณอ้วนกว่าเดิมอีก

กฎทองของการรักษาหุ่นก็คือ ต้องดูแลการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้สมดุลกับ
ความต้องการของร่างกายคุณ จำไว้ว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนอาจจะต่างกันไป
และเมื่อเวลาหรือวิถีชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเผาผลาญพลังงานก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย
หากคุณรู้ตัวว่าเป็นพวกสาวออฟฟิศ วัน ๆ ทำงานนั่งโต๊ะ ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานสักเท่าไร
ก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง แต่ให้พลังงานต่ำ
ที่สำคัญ ควรหาเวลาไปออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

หากอยากฟิตหุ่นเฉพาะส่วน อาจบริหารร่างกายเฉพาะส่วนเป็นพิเศษ
เพื่อความฟิตและเฟิร์ม หากทำเช่นนี้ได้เป็นกิจวัตร หุ่นฟิตและเฟิร์มก็ไม่ไกลเกินเอื้อม


เคล็ดลับสกัดความอ้วน

เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้พอดีกับความต้องการใช้พลังงานของร่างกาย

ไม่ควรอดอาหาร แม้จะต้องการลดความอ้วน
เพราะจะทำให้หิวจัด จนรับประทานอาหารเกินความจำเป็นในมื้อต่อไป

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียด อย่าทำกิจกรรมอื่นในระหว่างรับประทานอาหาร
เพราะจะทำให้คุณไม่รู้ตัวว่ารับประทานอะไรไปบ้าง ทำให้ได้รับอาหารเกินที่ต้องการ

เน้นอาหารประเภทที่มีไขมันต่ำ กากใยสูง โดยเฉพาะพวกเนื้อปลา ผัก ผลไม้

เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวิธีต้ม หรือลวก แทนการทอด หรือผัด
เพราะน้ำมันจากการปรุงอาหารอาจเป็นตัวการที่ทำให้คุณอ้วน

อาหารที่มีพริกไทย เครื่องเทศเป็นส่วนผสม ช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและเผาผลาญไขมันได้

หลีกเลี่ยงอาหารกรุบกรอบ ขนมหวาน หากหิวระหว่างมื้อ
ให้รับประทานผลไม้ที่ไม่หวานมาก แต่มีเส้นใยสูง เช่น แอ๊ปเปิ้ล แก้วมังกร สับปะรด

ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่น้อยกว่า 8 – 10 แก้วต่อวัน ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารทุกมื้อ

ควรระวังน้ำตาลที่แฝงมาในอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลที่อยู่ในกาแฟเย็น
หรือน้ำอัดลมยี่ห้อโปรด น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้กล่อง อาจเป็นตัวการที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว

ช่วงก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงบางคนอาจมีอาการอยากอาหารผิดปกติ ดูตัวบวมๆหรือดูพุงยื่นๆ
ซึ่งเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน ควรระวังการรับประทานอาหารให้ดี
หรือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นใหม่ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโดสต่ำ
ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนในร่างกาย
ซึ่งช่วยลดปัญหาอาการไม่พึงประสงค์ก่อนมีประจำเดือนได้

หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ครั้ง ครั้งละ 30-45 นาที ต่อเนื่องกัน
เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน