วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สังกะสี Zinc / สารอาหารเพื่อความงาม

แหล่งที่พบ ได้แก่อาหารที่มีโปรตีนสูงเช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ตับ นม เนยแข็ง อาหารทะเล ปู กุ้ง หอยนางรม โดยเฉพาะหอยนางรมให้สังกะสีสูงที่สุดประมาณ 745 มิลลิกรัมต่อหอย 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังได้จากอาหารที่ทำจากบริวเวอร์ยีสต์อีกด้วย
พวกพืชผักได้แก่ ข้าวกล้อง รำข้าวสาลี เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ถั่วเขียว วุ้นเส้นไม่ฟอกขาว งา เมล็ดอัลมอนด์ ผักใบเขียว ผักขม หัวหอม มันฝรั่ง มะเขือเทศ
ผลไม้ได้แก่ มะม่วง แอปเปิล สับปะรด เป็นต้น
ประโยชน์ต่อร่างกาย
มีความสำคัญต่อการดูดซึม และการปฏิบัติหน้าที่ของวิตามินโดยเฉพาะวิตามินบีรวม เป็นส่วนประกอบของน้ำย่อย ไม่น้อยกว่า 25 ชนิด ซึ่งช่วยในการย่อยและการเผาผลาญ
โดยเฉพาะการย่อยคาร์โบไฮเดรต และการเผาผลาญฟอสฟอรัส
สังกะสีช่วยในการสังเคราะห์ RNA และ DNA ซึ่งเป็นตัวควบคุมการสร้างเซลล์ การทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และเป็นตัวนำถ่ายทอดพันธุกรรม
ชะลอความแก่ หรือยืดอายุความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวขึ้นได้ โดยสังกะสีจะช่วย
ชะลอความแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติให้ช้าลง
ถ้าเซลล์สมองถูกทำลายความคิด และความจำ ความคล่องแคล่วจะลดลง
ช่วยในการปฏิบัติงานของอินซูลิน ถึงแม้ว่าสังกะสีไม่เป็นส่วนประกอบของอินซูลิน แต่อินซูลินจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยสังกะสี จำเป็นสำหรับการหายใจของเนื้อเยื่อคือ ช่วยขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเลือดทางปอด ช่วยรักษาแผล
โดยเฉพาะแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ให้หายเร็ว สังกะสีมีความจำเป็นสำหรับสุขภาพของผิวหนังป้องกันสิว และผิวมัน คนที่เป็นสิว และผิวมันจะพบว่าความเข้มข้นของสังกะสีในเลือดต่ำกว่าปกติ
สังกะสีมีความสำคัญต่อ ระบบทางเดินอาหารและระบบประสาทส่วนกลางให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ความผิดปกติทางอารมณ์เป็นผลจากการขาดสังกะสี ช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอล

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สวยก่อนนอน นอนให้สวย

การนอนหลับกับผิวพรรณ การนอนหลับที่ดีควรเป็นการนอนหลับอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีความรู้สึกไม่สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน ซึ่งการนอนหลับที่ดีที่ส่งผลต่อการมีผิวพรรณที่ดีนั้น
ควรมีปัจจัยดังนี้
1.นอนถูกเวลาและปริมาณ ความต้องการนอนหลับของมนุษย์เรานั้นไม่เท่ากัน ยิ่งอายุน้อยยิ่งต้องการนอนมาก และความต้องการนอนหลับสำหรับผู้ใหญ่โดยทั่วไปแล้วประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งที่สำคัญคือร่างกายจะมีการสะสม ถ้าเรานอนไม่พอก็จะต้องการนอนมากขึ้นในวันต่อไป นอกจากนี้ เวลาเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนและสารต่างๆ ที่จำเป็นในการก่อให้เกิดสุขภาพผิวพรรณที่ดี จะผลิตเป็นเวลาตามที่ร่างกายกำหนด เวลาที่แนะนำให้ควรเข้านอนเพื่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดี ไม่ควรจะเกิน 4 ทุ่มของแต่ละคืน
2.นอนถูกที่ ถูกสิ่งแวดล้อม ถ้าสิ่งแวดล้อมที่เรานอนไม่เหมาะสม เช่น มีเสียงรบกวน มีแสงสว่างมากเกินไป มีการระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม ต่างก็ส่งผลกระทบต่อกระบวนการนอนหลับอย่างต่อเนื่องของร่างกายทั้งสิ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการนอนหลับลดลง
3.นอนถูกท่า การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำหน้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคางที่เรียกว่า Sleep Line นอกจากนี้ การนอนคว่ำยังทำให้เกิดรอยตีนกาได้ง่าย เนื่องจากผิวบริเวณรอบดวงตาจะเป็นผิวที่บอบบางและเกิดริ้วรอยได้ง่ายมาก
นอกจากประโยชน์ด้านความงามแล้ว ท่านอนหงายยังเป็นท่าทางการนอนที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะเป็นท่านอนที่ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอก ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้อย่างคล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ทำให้สามารถวางตัวอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด
เมื่อหลังแตะฟูกให้หลับในท่านอนหงายเหยียดยาวในชุดที่ไม่รัด พร้อมกับใช้หมอนใบเล็กรองใต้คอแทนหนุนศีรษะได้ยิ่งดี การเหยียดแขนออกห่างตัว หรือไม่ก็งอศอกไว้เหนือศีรษะจะได้ไม่กีดขวางระบบทางเดินหายใจหรือสูบฉีดโลหิต ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้คล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ช่วยให้กล้ามเนื้อหลัง ไหล่ และคอ ได้รับการผ่อนคลายได้ดีที่สุด (ยกเว้นผู้ป่วยหรือสตรีมีครรภ์)
หลับสบายไร้ริ้วรอย ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรศาสตร์ จากพาร์เกอร์แอนด์มอร์แกน ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด การนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำนานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า
ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรศาสตร์ แนะนำว่า การใช้หมอนสำหรับคนนอนหงาย ควรใช้หมอนทรงต่ำจะเหมาะสมที่สุด เพราะหมอนต่ำจะช่วยพยุงกระดูกสันหลังให้อยู่ในระดับเดียวกับที่นอนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ควรใช้หมอนที่สูงเกินไป เพราะจะทำให้ส่วนศีรษะของคุณกระดกมาด้านหน้าเข้าหาลำตัวในท่าก้มมากขึ้น ซึ่งนอกจากไม่เป็นผลดีกับคอแล้ว ยังทำให้หายใจลำบากด้วย และควรมีส่วนที่ช่วยรองรับส่วนเว้าของต้นคอ เพื่อลดแรงกดของกล้ามเนื้อคอ
ถึงแม้จะมีหลายๆ ปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้ผิวของมนุษย์เราเกิดการชราภาพได้เร็วก่อนเวลาอันควร แต่ถ้าเรารู้จักดูแลสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเรา นั่นก็คือการพักผ่อนที่เพียงพอและถูกวิธี เพราะนอกจากจะส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ระบบร่างกายภายในแข็งแรงอีกด้วย สวยก่อนนอน
1.เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว ถ้าเป็นคนผิวแห้งก็จะแนะนำเป็นพวกครีมน้ำนม ซึ่งเป็นการทำความสะอาดและเติมความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย แต่ถ้าเป็นคนผิวธรรมดาหรือผิวมัน แนะนำให้เป็นผลิตภัณฑ์จากโฟมน้ำผึ้ง ซึ่งจะเหมาะกับสภาพผิว
2.การล้างหน้า เวลาล้างหน้าอย่าใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เพราะ 2 นิ้วนี้เมื่อกดลงใบหน้าจะมีแรงกดมาก ทำให้เกิดริ้วรอย ควรใช้เพียงนิ้วกลางและนิ้วนางเท่านั้น โดยเริ่มหมุนนิ้วออกเป็นวงกลม เริ่มจากบริเวณคาง คลึงนวดเบาๆ ไล่ขึ้นไปตามแก้ม ไล่จากบริเวณจุดกลางไปตามลายกล้ามเนื้อออกไปทางด้านข้าง ไล่ขึ้นไปที่หน้าผาก เป็นการต้านแรงโน้มถ่วง อาจจะเน้นบริเวณร่องข้างจมูก เพื่อหลีกเลี่ยงสิวเสี้ยน
3.การลงเคล็นซิง ให้ทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาที-1 นาที เพื่อให้ตัวครีมนี่ทำละลายกับสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง คราบไขมันอุดตัน
4.วิธีล้างออก วักน้ำขึ้นมาแล้วให้เอาน้ำแปะบนผิวหน้า ห้ามถู เพราะจะยิ่งทำให้เหมือนเป็นการกดไปบนหน้าเรา จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ เคล็ดลับง่ายๆ แค่นี้ ช่วยให้คุณสวยได้ทั้งยามหลับและยามตื่น
ข้อมูลจาก http://women.sanook.com/beauty/tips/btip_53731.php

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ดูแลผมแห้งเสียให้กลับมานุ่มสลวย

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเส้นผมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผมเป็นปราการด่านแรกๆ ที่สายตาคนเรามักจับจ้อง และยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ เติมเต็มความมั่นใจให้สาวๆ ในทุกกิจกรรมตลอดวัน ยิ่งเป็นเวิร์กกิ้งวูเมนด้วยแล้วต้องสวยเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้า ดังนั้น สารพัดวิธีที่จะทำให้ผมคุณดูดีคงหนีไม่พ้นการจัดแต่งทรง ดัด ยืด ทำสี หรือไฮไลต์
แต่ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผมเสียอย่าง โดฟ ได้ทำการสำรวจพบว่าผู้หญิงไทยกว่า 80% มักมีผมอ่อนแอ แห้ง เสีย และแตกปลาย ลองมานั่งนับนิ้วกันดูดีกว่าว่าเส้นผมของคุณผ่านร้อนผ่านหนาวเพื่อให้ดูดีและอินเทรนด์มากี่ร้อยครั้งแล้ว เอาง่ายๆ เลย (ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้)
แค่กิจกรรมที่คุณทำกับเส้นผมในชีวิตประจำวัน เพียงการหวีผม มัดผม เช่น รวบผมม้า ถักเปีย ก็ทำให้เกล็ดผมเปิดแล้ว ในขณะที่การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น แฮร์สเปรย์ ยังทำลายผิวด้านนอกของเส้นผม จากการที่สารเคมียึดเส้นผมแต่ละเส้นไว้ด้วยกันให้เข้าทรง เช่นเดียวกับการไดร์ผม หรือรีดผมด้วยความร้อนสูงๆ เป็นประจำ
ความชื้นที่อยู่ในเส้นผมจะเดือดเป็นฟองและทำร้ายแกนผมได้ นี่ยังไม่รวมถึงการที่ผมได้รับสารเคมี เช่น เวลาที่คุณทำสีหรือไฮไลต์ สารเคมีในสีย้อมผมจะทำให้เกล็ดผมเปิดออกอย่างเต็มที่ก่อนที่ผมสวยจะโบกมือลาคุณไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะแห้งเสียและยับเยินอย่างรุนแรง โดฟจึงนำเคล็ดไม่ลับ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถเปลี่ยนผมแห้งเสียให้กลับมาสวยได้ด้วยตัวคุณเอง มาฝากสาวๆ กัน เริ่มที่
1. สำรวจต้นตอของปัญหา เริ่มแรกควรวิเคราะห์สุขภาพเส้นผมกันก่อน ว่าส่วนไหนที่แห้งเสียมากที่สุด เช่น ปลายผมที่แตกแดงหรือฉีกขาด ก็ควรจะเล็มหรือตัดออกให้สิ้นซาก
2. หันมาใส่ใจดูแลอย่างต่อเนื่อง หลังขจัดต้นตอผมที่ไร้ชีวิตแล้ว ก็ถึงเวลานับหนึ่งใหม่สำหรับการดูแลและบำรุง ดังนั้น จึงต้องได้รับการดูแลและบำรุงอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำความสะอาดควรเลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับสภาพผมแห้งเสีย หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้ และบำรุงด้วยครีมนวดผมเป็นประจำทุกครั้งหลังสระผม ยิ่งผมแห้งเสียรุนแรงด้วยแล้ว ครีมนวดผมทั่วไปอาจมีความเข้มข้นไม่เพียงพอต่อการบำรุง ดังนั้น ควรมองหาครีมนวดผมที่มีประสิทธิภาพการบำรุงอย่างล้ำลึก และสามารถซึมซาบเข้าบำรุงได้ตรงจุดเพื่อการแก้ปัญหาผมเสียให้ได้ผลเร็วยิ่งขึ้น หลังทำความสะอาดด้วยแชมพูและบำรุงด้วยครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของทรีทเม้นท์แล้ว หมั่นฟื้นฟูและบำรุงผมสัปดาห์ละครั้งด้วยทรีทเม้นท์ มาส์ก และตามด้วยลีฟออยทุกครั้งหลังสระผม เพื่อฟื้นฟูเส้นผมแห้งเสียให้กลับแข็งแรงดังเดิม
3. ผมที่ผ่านการทำสี ดัด ยืด หรือไดร์บ่อยๆ ต้องการการดูแลและเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนลุคด้วยการเปลี่ยนทรงใหม่สวยแต่ถ้าหากสภาพเส้นผมของคุณแย่จนแห้งเสียแตกปลายไร้ชีวิตชีวา ทุกอย่างที่ทำมาก็ดูไร้ค่าดังนั้น ควรหมั่นดูแลและบำรุงอย่างสม่ำเสมอให้ครบทั้ง 3 ขั้นตอน
โดยเฉพาะ การใช้ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของทรีทเม้นท์เป็นประจำทุกครั้งหลังสระผมด้วยแชมพู เพื่อฟื้นฟูผมแห้งเสียให้กลับมีสุขภาพดีเพียงเท่านี้ เวิร์กกิงวูเมนสุดมั่นอย่างคุณ ก็สามารถคืนผมสวยสุขภาพดีได้ดังเดิม แถมยังอินเทรนด์ตลอดเวลาอีกด้วย
ที่มา MG

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คืนผมสวยให้สาว 30 ...(ยังแจ๋ว) โดย สายสุดา เชื้อวิวัฒน์

เรื่องสวยๆ งามๆ กับผู้หญิง ไม่ว่าจะย่างเข้าสู่วัยไหนก็ตาม ไม่เคยเป็นเรื่องไกลตัวเลยสักนิด ยิ่งย่างเข้าสู่ช่วง 30 ยังแจ๋วด้วยแล้ว
นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสาววัยทำงานแทบทุกคน ไม่ยกเว้น แม้แต่เรื่อง “สุขภาพเส้นผม” ที่ก็สามารถเสื่อมสภาพตามวัยด้วยเช่นกันในงาน Surprise Party@30 yrs Old up !!!
ณ สถาบัน L’Oreal Professtional ที่นำนวัตกรรมใหม่ล่าสุด Age Densiforce ช่วยคืนสภาพเส้นผมสู่ความอ่อนเยาว์ ด้วยอานุภาพ OMEGA 6 ก็อบอวลไปด้วยทิปเก๋ๆ เพื่อการรักษาสุขภาพเส้นผมสำหรับสาวๆ วัย 30 ปีขึ้นไป
โดยกูรูด้านเส้นผม เล็ก-สายสุดา เชื้อวิวัฒน์ ช่างผมแถวหน้าของเมืองไทยจาก KG Salonเพราะผมคนเราก็ไม่ต่างจากผิวพรรณ เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นย่อมเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ครูเล็กแห่งเกตุวดี เล่าว่า
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า วัย 30 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของร่างกาย อย่างไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด ! สุขภาพเส้นผมก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ต้องทำความเข้าใจใหม่สักนิดว่า การสระผมบ่อยๆ ก็ดีอยู่ในเรื่องของการทำความสะอาดเส้นผม
แต่กระบวนการทำความสะอาดนี้ ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เส้นผมเสื่อมภาพได้เร็วขึ้นด้วยเหมือนกัน และกว่าจะมาถึงอายุ 30 แต่ละคนคงสระผมกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแน่นอนวิธีที่กูรูท่านนี้แนะนำคือ การใช้ลมเย็นจากไดรเออร์ช่วยเป่าสิ่งสกปรกให้กับเส้นผม และความมันบนหนังศีรษะ หลังจากที่ต้องไปเผชิญกับฝุ่นละอองมาทั้งวัน
การใช้ลมเย็นๆ เป่า ก็จะเป็นการทำความสะอาดได้วิธีหนึ่ง โดยให้ก้มลงเป่าย้อนไปย้อนมา เพียงไม่ถึง 2 นาทีก็สามารถทำความสะอาดเส้นผมได้โดยไม่ต้องสระแต่สำหรับใครที่อดไม่ได้ ขอสระผมบ่อยๆ เหมือนเดิม เพราะติดเป็นนิสัยซะแล้ว ครูเล็กก็ยังแนะเพิ่มเติมว่า
สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ การเลือกใช้แชมพูให้เหมาะกับชนิดของเส้นผมคือ ต้องสังเกตว่าผมของตัวเองเป็นอย่างไร แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ให้ถามช่างดูว่า ผมเราเป็นผมชนิดไหน
ขั้นตอนต่อไป ให้ดูที่หนังศีรษะว่า เราเป็นคนที่มีหนังศีรษะแบบไหน เช่น หนังศีรษะมัน เป็นรังแค หรือว่าหนังศีรษะแห้ง ดังนั้น เวลาที่เลือกแชมพูต้องเลือกให้เหมาะกับทั้งหนังศีรษะและเส้นผมด้วย เพราะบางทีปัญหาหนังศีรษะกับปัญหาเส้นผมนั้นไม่เหมือนกัน
ก็สามารถให้ช่างแนะนำได้ ซึ่งพอรู้ถึงตรงนี้ แล้วก็อย่า! ลืมทำทรีตเมนต์ และบำรุงเส้นผมไปด้วย ครูเล็กย้ำ“พอเรารู้สภาพเส้นผม
จากนั้นเราก็ไปเลือกผลิตภัณฑ์ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง เหมาะกับวัยของเรา โดยผลิตภัณฑ์นั้นต้องรักษาสุขภาพหนังศีรษะและสุขภาพของเส้นผมได้ด้วย เพื่อให้เกิดผลดี ช่วยลดจำนวนครั้งในการสระผม กลายเป็นทุกๆ 2 วัน แล้วจึงค่อยสระก็ยังได้
เพื่อเปิดโอกาสให้น้ำมันของเส้นผมที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ออกมาชโลมจนถึงปลายเส้นผมบ้างเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพผมที่ดี ย้อนเส้นผมของเราให้กลับดูมัน เงางาม เหมือนเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่เคยผ่านสารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น”
จาก http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000094789

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สูตรพอกหน้า 7 ประเทศ

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ
แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี
แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก
แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน.

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

====ทำเอมไซด์แอปเปิ้ลหน้าใสแบบง่ายๆด้วยตัวเอง=====

สูตรหน้าใสจากธรรมชาติสูตรนี้ได้มาจากคนรู้จัก เค้าใช้แล้วหน้าใสขึ้นจริงๆ มีของดีและถูกอย่างนี้ต้องบอกต่อซะแล้ววิธีใช้ก่อนล้างหน้าตอนเช้าหรือเย็นทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีหรืออาจจะนานกว่านี้แล้วก็ล้างหน้าตามปกติ ยิ่งถ้ากินก็จะช่วยให้ปิ๊งจากข้างใน แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ใช้ทาภายนอกอย่างเดียวส่วนผสม
1. น้ำผึ้ง
2. แอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
3. น้ำสะอาด
4. ขวดใส (ขวด pet ที่ใสน้ำเปล่าขาย)
วิธีทำ
ใส่น้ำผึ้งไปประมาณขีดที่ 1 ของขวดแล้วก็ใสแอปเปิ้ลไปเท่าๆกันใสน้ำลงไปพอไปเกือบเต็มขวด พอให้อากาศเข้าไปได้ แล้วก็เขย่าให้เข้ากันปิดฝา
วันที่ 2 ก็ค่อยเปิดฝาให้แก็สที่มีอยู่ในขวดออกมาสักพักก็ปิดฝาเขย่าทิ้งไว้ วันต่อๆไปก็ทำแบบนี้อีก 7-10 วัน คุณก็จะได้เอมไซด์เอาไปพอกหน้าให้สวยใสจากธรรมชาติค่ะ +===+====+